ชมพุทธประวัติ ฉบับการ์ตูน

Art of Asia: Buddhism - The Art of Enlightenment

ใครๆก็แก้กฎหมายได้(คุณก็ด้วย)

การแนะแนว"อนาคตประเทศไทยกับ 10 อาชีพสุดฮิพ"จัดโดยมูลนิธิไทยคม 10-11 ต.ค.52

Bookmark and Share

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

หนูนากับป้าแจ่ม

 

วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 7002 ข่าวสดรายวัน


หนูนากับป้าแจ่ม





หนูนากับป้าแจ่ม


หน้า 4
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamRHNHdNVE13TURFMU13PT0=&sectionid=TURNek13PT0=&day=TWpBeE1DMHdNUzB6TUE9PQ==

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thanks for visiting!  
news9
http://pnac-th.blogspot.com/  pnac-th
http://nature1951.blogspot.com/ nature1951
http://econnews9.blogspot.com/ econ
http://seminars9.blogspot.com/ ilaw
http://politic9.blogspot.com/ pdc9
http://jaecafe.com/feed
http://elibrary.nfe.go.th/index2.php
http://www.kmutt.ac.th/rippc/info.htm
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/sat191
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/sweetblog

โหราศาสตร์ของจีนโบราณ ที่ว่าด้วยเรื่อง เบญจธาตุ คือ ดิน ทอง น้ำ ไม้ ไฟ และหลัก "ลักจั๊บกะจื้อ"

วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 7002 ข่าวสดรายวัน


แก้ชง (1)


พันธุ์แท้พระเครื่อง

ราม วัชรประดิษฐ์




ตามหลักโหราศาสตร์ของจีนโบราณ ที่ว่าด้วยเรื่อง เบญจธาตุ คือ ดิน ทอง น้ำ ไม้ ไฟ และหลัก "ลักจั๊บกะจื้อ" มีคติความเชื่อว่า ในรอบปีจะมี ดาวนักษัตร 12 ดวง ผลัดเปลี่ยนเวียนวนมาคุ้มครองดวงชะตา และให้คุณให้โทษ โดยมีการคำนวณราศีดาวฟ้า-ดิน โดยดาวนักษัตรทั้ง 12 ดวง จะเล็งลัคนากันให้ผลทั้งด้านดี และด้านร้าย ต่อเบญจธาตุที่ปรากฏอยู่ในมนุษย์ เมื่อจับคู่กันแล้วจะเปลี่ยนแปลงตามจักรราศีไปเรื่อยๆ เป็นเวลา 60 ปี จึงจะวนกลับมาบรรจบกันอีกรอบหนึ่ง

ในแต่ละปีซึ่งนับตั้งแต่ตรุษจีน เป็นต้นไปนั้น จะมี "เทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา" หรือที่เรียกกันว่า "องค์ไท้ส่วยเอี้ย" หรือ "ไท้ส่วยเอี้ยเป๋าส่วยกุงเผ่งอัง" ผลัดเปลี่ยนกันมาคุ้มครองเจ้าชะตารวม 60 องค์ เท่ากับจำนวนรอบการเล็งลัคนาของดาวนักษัตร โดยแต่ละองค์จะมีชื่อแตกต่างกันไป



การ ให้คุณให้โทษของดวงดาว และองค์ไท้ส่วยเอี้ย ในแต่ละปีจะทำให้เกิด "ฮะ หมายถึง สมพงศ์" กับ "ชง หมายถึง การปะทะ หรือ ปฏิปักษ์" ขึ้น ถ้าปีใด "ฮะ" ปีนั้นก็จะ เฮง เฮง และเฮง

แต่ถ้าปีใด "ชง" แล้วละก็ ขอโทษนะครับ ไม่ตายก็คางเหลือง ทีเดียวเชียวแหละ

ด้วย เหตุที่ดวงดาวหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อย นักปราชญ์จีนโบราณ เลยหาทางกำหนดวิธี "แก้ชง" คือการพยายามสลายพลังร้าย หรือการเป็นปฏิปักษ์ ตลอดจนการปะทะให้ลดน้อยถอยลง โดยอาศัยหลักความสัมพันธ์และการเกื้อกูล จนถึงกับสามารถเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี เปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นมิตรในแต่ละรอบปีได้

สำหรับปี 2553 ซึ่งนับตั้งแต่ตรุษจีนปีนี้นั้น ดาวนักษัตรเป็นปีขาล (เสือ) องค์ไท้ส่วยเอี้ยที่เสด็จมาประทับคุ้มครองเจ้าชะตา มีพระนามว่า "อู่ฮวงไต้เจียงกุน" หรือ "อู่หวัน" ผู้คนจะพากันไปขอพรให้ท่านเมตตาปกป้องรักษา ที่ไม่ชงก็ให้ดียิ่งขึ้น และขอบพระทัยองค์เจ้าชะตา ส่วนที่ชงก็ต้องอ้อนวอนให้ช่วยปัดเป่าเภทภัย โดยไปกราบท่านได้ที่ วัดเล่งเน่ยยี่ ทั้งที่เก่าคือ ถนนเจริญกรุง และที่ใหม่คือ บางบัวทอง

สำหรับผู้ที่อยู่ในข่าย "ชง" และ "ร่วมชง" จำเป็นต้อง "แก้ชง" ในปีนี้ ได้แก่

1. ผู้เกิดปีวอก (ลิง) ชง (ปะทะ) โดยตรงกับเทพเจ้า "ไท้ส่วยเอี้ย" และเป็นอริกับปีขาลโดยตรง

2. ผู้เกิดปีขาล (เสือ) ดวงทับองค์ไท้ส่วย

3. ผู้เกิดปีมะเส็ง (งูเล็ก) ปีร่วมชง

4. ผู้เกิดปีกุน (หมู) ปีร่วมชง

ส่วนวิธีการที่จะ "แก้ชง" หรือการเพิ่ม "ฮะ" ในปีนี้จะทำยังไง พื้นที่หมดพอดี อ่านต่อกันพรุ่งนี้แล้วกันครับผม


หน้า 29
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdOVE13TURFMU13PT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1DMHdNUzB6TUE9PQ==

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thanks for visiting!  
news9
http://pnac-th.blogspot.com/  pnac-th
http://nature1951.blogspot.com/ nature1951
http://econnews9.blogspot.com/ econ
http://seminars9.blogspot.com/ ilaw
http://politic9.blogspot.com/ pdc9
http://jaecafe.com/feed
http://elibrary.nfe.go.th/index2.php
http://www.kmutt.ac.th/rippc/info.htm
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/sat191
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/sweetblog

คนจะฉลาดหรือโง่ขึ้นอยู่กับสิ่งสำคัญขนาดของมันสมอง

คนจะฉลาดหรือโง่ขึ้นอยู่กับสิ่งสำคัญขนาดของมันสมอง

Pic_61027

หาก เป็นเรื่องของสติปัญญากันแล้ว นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ของสหรัฐฯพบว่า มันขึ้นอยู่กับขนาดของมันสมอง คนที่มีมันสมองโตกว่า ย่อมหัวแหลมยิ่งกว่าผู้ที่มีสมองมด

คณะนักวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ ได้ศึกษา โดยสังเกตจากการเล่นวีดิโอเกมของคนต่างๆ สังเกตพบว่า คนที่มันสมองใหญ่กว่า จะมีการประสานงานระหว่างสมองกับมือเหนือกว่าและมีหัวไวกว่าเพื่อนคนที่อาภัพ มีมันสมองก้อนเล็กกว่ากัน

นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยอเมริกันผู้เป็น หัวหน้ากล่าวว่า กุญแจของความสำเร็จอยู่ที่ขนาดของมันสมองอันเป็นตัวควบคุมความรวดเร็วของการ ใช้หัวคิดและการค้นพบเรื่องนี้จะช่วยในการศึกษาโรคของมันสมองต่อไป

"ความ รู้เหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการศึกษาเพื่อให้รู้ว่าจะต้องใช้เวลาเคี่ยวเข็ญ นักเรียนบางคนหรือในการบำบัดรักษาผู้ทุพพลภาพหรือสมองเสื่อมมากสักเท่าใด" เขากล่าว.

http://www.thairath.co.th/content/life/61027



--
     Weblink
seminar
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminarsat.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminardd.com
www.ipthailand.org
www.joetist.com

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

หนังสือร้องเรียนให้เร่งพิจารณาร่าง พรบ.องค์การอิสระผู้บริโภค

 

 

 

 

ประธานรัฐสภา รับหนังสือร้องเรียนให้เร่งพิจารณาร่าง พรบ.องค์การอิสระผู้บริโภค

28 ม.ค. 53 -            ประธานรัฐสภา รับหนังสือร้องเรียนให้เร่งพิจารณาร่าง พรบ.องค์การอิสระผู้บริโภค พ.ศ....                       (ฉบับประชาชน) จากเลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ระบุ ได้บรรจุลงในวาระเรื่องด่วนลำดับที่ 2 ของการประชุม            สภาผู้แทนราษฎร แล้ว คาด จะเข้าสู่การพิจารณาได้ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ นี้

                นายชัย  ชิดชอบ ประธานรัฐสภา รับการยื่นหนังสือขอให้เร่งรัดการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติองค์การอิสระผู้บริโภค พ.ศ....(ฉบับประชาชน) จากนางสาวสารี  อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคในฐานะผู้แทนเสนอกฎหมายและคณะ ซึ่งร่างกฎหมายดังกล่าวเกิดจากการรวบรวมรายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวน               1 หมื่นรายชื่อ และเสนอต่อประธานรัฐสภาตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 ก.พ.52  แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่ได้รับการพิจารณา             ทั้งที่ได้รับการบรรจุเป็นวาระเร่งด่วนพิเศษในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 30 พ.ย.52

                ด้าน ประธานรัฐสภา กล่าวว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ในวาระเรื่องด่วนลำดับที่ 2 ของการประชุมสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่การประชุมได้ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ นี้ อย่างไรก็ตามเงื่อนเวลาดังกล่าวขึ้นอยู่กับการประสานงานของวิปรัฐบาลและฝ่ายค้านด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ลักขณา  เทียกทอง / ผู้สื่อข่าว

วิจิตรา  น้าวัฒนไพบูลย์ / เรียบเรียง

 

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

MONGOLIA: PLATINUM PRINTS by Hamid Sardar-Afkhami - PORTFOLIOS*NET - Creative Community

MONGOLIA: PLATINUM PRINTS by Hamid Sardar-Afkhami - PORTFOLIOS*NET - Creative Community

นิทรรศการเดือนมกราคมนี้ เซรินเดีย แกเลอรี่ นำเสนอภาพถ่ายเรื่อง “มองโกเลีย” โดยศิลปินฮามีด ซาร์ดาร์ อาฟคามี

คนไทยส่วนใหญ่รู้จักมองโกเลียจากนิยายกำลังภายในจีน ดินแดนประเทศมองโกเลียเต็มไปด้วยชีวิตของคน และวัฒนธรรมการย้ายถิ่นฐานร่อนเร่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเข้าใจและสัมพันธ์อย่างลึกล้ำกับสัตว์ป่า เรียกได้ว่าคนสามารถสื่อสารกับสัตว์ด้วยภาษาเดียวกัน อย่างเช่น หมาป่า นกอินทรีย์ กวางหิมะ ภาพของฮามีดที่นำเสนอนี้ เป็นภาพที่หาได้ชมยาก ฮามีดใช้เวลากว่า 8 ปี ในการติดตามชนเผ่าเลี้ยงสัตว์ ต้อนฝูงม้า ล่าหมี ฝึกหมาป่า ฝึกนกอินทรีย์ เรียนรู้ รู้จักสัมผัสวัฒนธรรมมองโกเลียเป็นอย่างดี ประกอบกับฮามีดเป็นศิลปินช่างภาพมีฝีมือระดับแนวหน้า

นอกจากภาพที่สวยงามระดับคลาสสิคแล้ว ความพิเศษที่สุดของภาพชุดนี้อีกอย่างคือเป็นภาพที่อัดแบบ “พลาตินัม พริ้นท์” การอัดภาพแบบพลาตินัม เป็นเทคนิคที่ให้ภาพที่มีรายละเอียดสุดยอดเหนือกว่าภาพแบบอื่นๆ ภาพพลาตินัมเป็นการอัดที่ใช้ปฎิกริยาสารละลายเกลือพลาตินัมสัมผัสโดยตรงกับ กระดาษ ภาพที่เกิดไม่ได้เกิดบนสารเคมีที่เคลือบกระดาษเหมือนอย่าง silver gelatin prints จึงทำให้มีรายละเอียดของภาพและโทนสูงที่สุดบรรดากระบวนการอัดภาพ และคงสภาพไม่เสื่อมด้วยตนเองเพราะเป็นโลหะพลาตินั่ม ติดเป็นเนื้อเดียวกับกระดาษ เป็นภาพที่พิเศษควรค่าแก่การสะสม ในพลาตินัม พริ้นท์ชุด “มองโกเลีย” นี้มีบางรูปที่ได้รับการสะสมอยู่ในบริษัทดีไซน์ระดับโลก Hermès จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้ชมงานนี้ในประเทศไทย

=============
Serindia Gallery's fifth exhibition this January features the pinnacle of the photographic print media: Platinum Prints — in MONGOLIA by Hamid Sardar-Afkhami.

Inspired by the pioneers of ethno-photography during the Age of Exploration, such as Edward Curtis who photographed the Indian peoples of North America and Canada, Hamid Sardar-Afkhami dedicates his cameras to making a visual record of Mongolia’s last nomad tribes. Spanning over almost a decade, Hamid’s expeditions in Mongolia have produced three award-winning documentary films and a single important photographic collection concentrating on nomadic culture at the cusp of a great irreversible change.

Platinum prints are considered the ‘king of visual prints’ — they display unsurpassed and long-lasting details, produced by direct exposure of negatives on platinum deposits brushed directly into the paper. Some photographers only printed certain images in platinum (Robert Mapllethorpe’s The Corral Sea, and Irving Penn’s collection at the National Gallery of Art, Washington, for example). The result is greater tonal range, detail and longevity unmatched by other methods using classic silver gelatin or the digital process. The lifespan of a platinum print guarantees it will be viewed three hundred or four hundred years from now, perhaps more. Hamid thus insures these icons a life beyond their own and his.

Hamid Sardar-Afkhami is a professional photographer as well as a scholar of Tibetan and Mongol languages who received his Ph.D. from Harvard University. After moving to Nepal in the late 1980’s and exploring Tibet and the Himalayas for more than a decade, he went to live in Outer Mongolia in 2000 to make a record of people’s customs and manners of life before they became divorced from their natural and spiritual environment.

Facebook | World "Peace, Dignity & Respect" Unity Walks

Facebook | World "Peace, Dignity & Respect" Unity Walks

วันที่:
13 กุมภาพันธ์ 2010
เวลา:
0:00 - 12:00
สถานที่:
Worldwide

รายละเอียด

We are calling the people of all nations to join in a unity peace walk around the world on February 13, 2010 (first Saturday of all future Olympic Games). This harmonious unification of intention through our peaceful actions will create an inner feeling of oneness that we all can share.

----

World "Peace, Dignity & Respect" Unity Walk in Las Vegas:

Date: Saturday, February 13, 2010 / Time: 9:30 a.m.

Starting Location: New York - New York Hotel/Casino, under the Statue of Liberty (3790 Las Vegas Blvd - South)

The inaugural World “Peace, Dignity & Respect" Unity Walks took place on August 8, 2008 (08/08/08) during the opening day of the Olympic Games in Beijing, China. We walk to share the message, "All Life Is Sacred! Save Mother Earth!"

During our walk in Las Vegas, we will carry flags representing all 192 nations, including the Indigenous nations of the world. We will also honor our veterans, police & firefighters by carrying several commemorative flags.

Our walk is approx. 7 miles (one mile for each of the next Seven Generations). You can join us for a block, a mile, or go the distance -- a support vehicle is available. Our walk will travel along the "Strip" & end downtown.

For additional info please call: 702-319-8888 or 702-526-6292

eMail: peaceWalk@helloWorld.com

http://www.WorldUnityWalks.org

----

In honor of Aaron Jackson's commitment to helping the children of our world, we will carry the flag of Haiti with great respect and dignity. For the past several years Aaron has given up the comforts of a "normal" life to help the under privileged in less developed nations, with his initial concentration in Haiti. Can one person make that much of a difference? www.PlantingPeace.org

In honor of Captain Paul Watson and his crew, in their relentless efforts to help protect marine life worldwide, we will carry the flag of the Five Nation Iroquois Confederacy that is flown on Sea Shepherd ships. As stated by Captain Watson, "it is the one flag that we are most proud to have been given permission to fly." www.SeaShepherd.org

In honor of Chief Arvol Looking Horse, the keeper of the White Buffalo Calf Pipe for the Lakota, Dakota & Nakota Nations, we will carry the Earth flag symbolic of Grandmother Earth. www.Wolakota.org

In honor of Chief David Bald Eagle, and members of the UNN Grand Council, we will carry the U.S. Dream Catcher Eagle flag as a symbol of unity between natives & non-natives alike. www.UnitedNativeNations.org

In honor of Audri Scott Williams, and the World Peace Walkers, we will carry the Afro-American Heritage flag in remembrance of their ancestors. www.TrailOfDreamsWorldPeaceWalk.com

In honor of Dermot Butterly, who recently completed a walk across the United States from L.A. to D.C. to share Gandhi's message, "Be the change you want to see in the world," we will carry a full-size flag of India. www.GandhiPeaceWalk.org

In honor of Jeremy Gilley for his dedicated efforts in establishing September 21st as Peace Day, which is now recognized by the United Nations as the International Day of Peace, a day of global cease-fire and nonviolence, we will carry a special Peace flag. www.PeaceOneDay.org

In honor of Marianne Williamson, and members of The Peace Alliance in their enduring campaign to establish a U.S. Dept. of Peace, we will carry the World Peace (with Doves) flag. www.ThePeaceAlliance.org

In honor of Vietnam Veteran Claude AnShin Thomas, acclaimed author of, "At Hell's Gate: A Soldier's Journey from War to Peace," we will carry the Vietnam Veteran flag with deep appreciation for all our veterans. www.Zaltho.org

In honor of Toltec Spiritual Leader Ricardo Cervantes Cervantes (aka, "El Gorila") from Teotihuacan, Mexico, and Mary Ann Thompson-Frenk & Joshua Raymond Frenk, founders of the Memnosyne Foundation, we will carry the flag of the Lady of Guadalupe in recognition of the annual celebration at "The Pyramid of the Sun." www.Memnosyne.org

In honor of His Holiness Maharishi Mahesh Yogi (1917 – 2008), we will carry the Global Country flag of his Peace Palaces that will one day be flying in all 192 countries of the world. www.MaharishiPeacePalaces.org

In honor of Aung San Suu Kyi, His Holiness the 14th Dalai Lama, His Holiness the 17th Karmapa(s), His Holiness the true 11th Panchen Lama, and the people of Burma & Tibet, we will carry their flags together in unity with the hope that one day soon they will enjoy precious freedom that we all cherish deeply, especially after it is taken away. www.USCampaignForBurma.org | www.SaveTibet.org

"We will be known forever by the tracks we leave." ~Dakota

ลิงก์

แสดง 1 ลิงก์ดูทั้งหมด

แขกที่ยืนยันแล้ว

กิจกรรมนี้มีผู้เข้าร่วมทั้งหมดแขกที่ยืนยันแล้ว 319 คนดูทั้งหมด

กระดานข้อความ

กำลังแสดงข้อความในกระดานข้อความทั้ง 4 อัน

คุณสามารถโพสท์ข้อความได้หลังจากตอบรับกิจกรรม
Stacey Hall เขียน
เมื่อเวลา 20:36 น. เมื่อวานนี้
I will be there in spirit.
Lupe Curtis เขียน
เมื่อเวลา 6:34 น. วันที่ 26 มกราคม 2010
I will be there for sure!!
Robin Howson เขียน
เมื่อเวลา 18:32 น. วันที่ 24 มกราคม 2010
I wish..........
Arisana Tolomei เขียน
เมื่อเวลา 6:00 น. วันที่ 24 มกราคม 2010
I will be speaking at the Manifestation Workshop that day. Depending on other responsibilities I may be on the walk too! :) Much love, peace and joy! ♥

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

การแข่งขันฟุตบอลหญิง ในงานกีฬามหาวิทยาลัย "แม่โดมเกมส์"



 
จาก: 
วันที่: มกราคม 26, 2010 3:18 ก่อนเที่ยง
หัวเรื่อง: การแข่งขันฟุตบอลหญิง ในงานกีฬามหาวิทยาลัย "แม่โดมเกมส์"
ถึง: 


เก็บตกขอบสนาม
 
เป็นครั้งแรกที่มาดูบอลแบบใกล้ชิดติดสนาม แถมได้กินข้าวกลางวันในกล่องขนมเค้กขนาดที่เขาเสริฟกับกาแฟ-น้ำส้มประมาณนั้น เรื่องแปลกแต่จริงที่หลายคนตั้งคำถามในใจแต่ไม่กล้าพูดออกมาดังๆ เพราะมันสุ่มเสี่ยงเกินไป... วันนี้เป็นวันที่ 3 ที่วิภามาทำหน้าที่กรรมการจัดการแข่งขัน ตามป้ายแขวนคอบอกว่าสังกัดฝ่ายเทคนิคกีฬา คือจัดหาน้ำท่าข้าวปลา อุปกรณ์เสริม งานเอกสารให้พร้อม และดูแลนักศึกษาอาสาสมัครที่มาช่วยงาน  วิภานั่งอยู่ในเต๊นท์ขอบสนามที่อยู่หลังเต๊นท์กรรมการผู้ตัดสิน และผู้ควบคุมการแข่งขัน ซึ่งเป็นมืออาชีพ บอลหญิงในการแข่งครั้งนี้เล่นตามกติกาเหมือนบอลชายไม่ผิดเพี้ยน ทั้งเวลาก็ยาวนานเท่ากัน ดูแล้วอดนึกชมไม่ได้ว่า ผู้หญิงเราซึ่งส่วนใหญ่เป็นสาวหล่อเตะบอลกันเก่งขนาดนี้แล้วหรือ ทะมัดทะแมงและอึดมาก วิ่งตลอด 45 นาทีไม่ค่อยจะเปลี่ยนตัวนักกีฬาเลย หรือเพราะหาคนเล่นยากตัวสำรองมีน้อย...เรื่องน้ำใจนักกีฬาก็มีกันเต็มเปี่ยม ก่อนมาดูมีคนบอกว่าอาจจะเจอบอลหญิงตบกัน (คล้ายในละครน้ำเน่า) เอาเข้าจริงนอกจากไม่มีตบ ไม่มีต่อยกันแล้ว แม้จะแพ้เพื่อนเป็น10ลูก 18 ลูก ก็ยังแข่งเสมอต้นเสมอปลาย ไม่มีอาการท้อปรากฏให้เห็นเลย ส่วนกรรมการในสนามเองก็มีทั้งหญิงชายสลับกันไป
 
การแข่งวันนี้มีถึง 4 คู่ แต่มาสะดุดที่คู่สุดท้าย ไม่ใช่สะดุดเรื่องในสนาม แต่วิภาสะดุดเรื่องนอกสนาม
คือกรรมการชายอาวุโสท่านหนึ่งเข้าใจว่าเป็นมืออาชีพด้านฟุตบอล เมื่อ 2 วันแรกก็นั่งในเต๊นท์กรรมการตัดสินดีๆวันนี้แวะเวียนมาที่เต๊นท์ด้านหลังตลอด อาจจะเพราะทีมทำงานเป็นหญิงล้วน ทำหน้าที่คีย์คะแนนต่างๆ และรายงานผลบอลอย่างละเอียดลงในคอมพิวเตอร์โดยประจำอยู่ 2 คน กรรมการชายท่านนี้คุยตลอด 15 นาทีแบบ Non-stop เนื้อหาส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวกับเกมกีฬา มีทั้งเรื่องประวัติส่วนตัวไปจบที่ชวนรับประทานอาหารเย็น วิภาก็เลยแซวไปนิดนึงว่า ให้นักศึกษาหญิงบันทึกไว้ด้วยว่าท่านกรรมการมาคุยในเต๊นท์นี้เป็นเวลา 15 นาที
 
นี่คือครึ่งแรกของการแข่งคู่สุดท้าย พอครึ่งหลังกรรมการชายที่น่าจะนั่งอยู่ที่เต๊นท์กรรมการตัดสินตรงขอบสนามตามที่จัดไว้ให้ คราวนี้ก็มากัน 2 คนเลย คือผู้อาวุโสท่านหนึ่ง กับกรรมการหนุ่มอีกท่านหนึ่งคุยกันครบวงพอดี 4 คน คุยกันถูกคอจนไม่ต้องดูการแข่งขันเลย เรื่องที่คุยก็หนักไปทางชวนเที่ยวชวนกินข้าว แต่สถานที่ที่จะพาไปดูว่าจะไกลกว่าเดิม  วิภาไม่ได้สอดรู้อะไร แต่ต้องมานั่งอยู่ในเต๊นท์เดียวกัน....ทำไงได้ พอลูกเข้าประตูก็เลยขัดจังหวะการคุยที่กำลังออกรสไปว่า หมายเลขอะไรยิงประตู...ทั้ง4 คนจึงตื่นจากภวังค์ ทำหน้าเหรอหรา...ไม่รู้เลย  ต้องวิ่งไปถามกรรมการที่นั่งคนเดียวอยู่อีกเต๊นท์หนึ่ง  เวลาผ่านไปนึกว่าทุกคนคงจะรู้หน้าที่และกลับไปอยู่ในที่ตั้งของตน
 
แต่เปล่าการสนทนาเริ่มขึ้นอีกมีการแจกขนมให้นักศึกษา ถึงขนาดจับใส่มือกันเลยอย่างสนิทสนม
ถึงตอนนี้วิภาก็ชั่งใจอยู่หลายนาที จะพูดดีไม่พูดดี....ต่อมมโนธรรมมันย้ำให้ทำงาน  เลยหันไปคุยกับกรรมการอาวุโสท่านนั้นและขอร้องว่ากรุณาคุยกันหลังจากการแข่งขันจบแล้วได้หรือไม่....ให้นักศึกษาได้ทำงาน  กรรมการท่านนั้นก็รีบออกตัวว่าล้อเล่นไม่มีอะไร.... (นิดๆหน่อย ก็โอเค ไม่ใช่ตลอดเกม) พอจบการแข่งขันทุกคนก็แยกย้ายกันไป
 
ที่แน่ๆคือในเกมเขาแพ้ชนะกันทำแต้มกันไปผู้คนทั่วไปอาจจะไม่สนใจบอลหญิงอยู่แล้ว เพราะปรามาสว่าฝีไม้ลายมือสู้บอลชายไม่ได้ สื่อก็ไม่ค่อยมาทำข่าวกัน คนเชียร์ คนดูก็นับตัวได้ แถมกรรมการสายอาชีพทั้งหลายก็อาจจะเบื่อหรืออย่างไร  กรรมการบางท่านจึงกะมาทำแต้มที่ขอบสนามแทน จะได้แต้ม จะเสียแต้ม จะสนุกปาก แค่ล้อเล่น ก็คงไม่มีใครรู้ ต้องไปถามนักศึกษาอาสาสมัครหญิงทั้งสองดูเอง...ที่วิภาห่วงก็คือหวังว่านักศึกษาธรรมศาสตร์ที่มาขันอาสารับค่าแรงวันละ 200 บาท จะได้รับ ได้เรียนรู้อะไรจากการแข่งขันครั้งนี้กลับไปและเป็นประโยชน์กับตัวนักศึกษาเอง เช่น ความอดทน ความเข้าใจเรื่องการแบ่งงาน การทำงานเป็นทีม ความรับผิดชอบ ตลอดจนความเสียสละและมิตรภาพ
 
วิภา ดาวมณี รายงานด้วยความห่วงใย
(ยังมีเรื่องขอบสนามที่น่าห่วงสำหรับเหล่าเชียร์ลีดเดอร์มีนักข่าวมาเล่าให้ฟังไว้ตอน2 ก็แล้วกัน)
 
หมายเหตุ
การแข่งฟุตบอลหญิงนัดต่อไป วันพุธที่ 27 มกราคม
ที่สนามฟุตบอลมินิสเตเดียม ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต
เริ่ม 13.00 น. 

 

 
 
Vipar Daomanee  tel. 081-613 4792 
College of Innovation, Thammasat University 
Tel 02-613 3115#5118
................................................................................................................................................................
Fact Finding Commission:


--
คุณได้รับข้อความนี้เนื่องจากคุณสมัครรับข้อมูลจากกลุ่ม "ชุมชนเลี้ยวซ้าย" ของ Google Groups
หากต้องการโพสต์ถึงกลุ่มนี้ ให้ส่งอีเมลไปที่ turnleft@googlegroups.com
หากต้องการยกเลิกการสมัครสำหรับกลุ่มนี้ โปรดส่งอีเมลไปที่ turnleft+unsubscribe@googlegroups.com
สำหรับตัวเลือกเพิ่มเติม โปรดเข้าสู่กลุ่มนี้ที่ http://groups.google.com/group/turnleft?hl=th



--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
chun
http://tham-manamai.blogspot.com /sundara        
http://dbd-52hi5com.blogspot.com/ dbd_52
http://thammanamai.blogspot.com/ อายุวัฒนา
http://sunsangfun.blogspot.com/ suntu
http://originality9.blogspot.com/ originality
http://wisdom1951.blogspot.com/ wisdom

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

ไทยท้องฟ้าใส ดูชัดสุริยคราส

วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6988 ข่าวสดรายวัน


ไทยท้องฟ้าใส ดูชัดสุริยคราส





สุริยคราส -สุริยุปราคา เหนือท้องฟ้าเมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน ภาคกลางของจีน เป็นวงแหวนรอบพระจันทร์ มีแนวคราสวงแหวนกว้าง 300 ก.ม. ระยะทางยาวถึง 12,900 ก.ม. เป็นสถิติที่จะยาวนานนับพันปี

คึกคัก ทั่วประเทศแห่ดูสุริยคราสแบบวงแหวน สภาพอากาศปลอดโปร่ง เห็นได้ชัดเจนที่ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ นักเรียนนักศึกษายกคณะมาดูกันแน่น ท้องฟ้าจำลองจัดเตรียมอุปกรณ์บริการ พร้อมบรรยายให้ความรู้ นราธิวาสบูชาราหูขอให้เหตุไฟใต้สงบ ชาวบ้านอยู่กันอย่างปลอดภัย "กัลยา โสภณพนิช"รมว.วิทยาศาสตร์ฯชี้เด็กไทยตื่นตัวปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ

-แห่ดูสุริยุปราคาวงแหวน

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 15 ม.ค. ที่ศูนย์วิทยา ศาสตร์เพื่อการศึกษา ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ ซึ่งเป็นอีกแห่งใน กทม.ที่มีการจัดกิจกรรมสังเกตปรากฏการณ์สุริยุปราคาวงแหวน โดยบรรยากาศภายในงาน มีการตั้งเต็นท์แบ่งเป็น 3 โซน คือโซนสังเกตโดยตรง โซนนี้สามารถชมปรากฏการณ์ด้วยตาเปล่า โดยการมองผ่านกล้องดูดาวที่มีแผ่นกรองแสงพิเศษไมลาร์ปิดหน้ากล้อง และมองผ่านหน้ากากช่างเชื่อมซึ่งเป็นหน้ากากสำหรับเชื่อมเหล็ก โซนที่สองคือโซนสังเกตโดยอ้อม โซนนี้จะเป็นการชมปรากฏการณ์ผ่านภาพตกฉากที่อยู่ปลายกล้องดูดาว โดยการใช้กระดาษดำเจาะช่องแสงประมาณ 1 นิ้ว ปิดหน้าเลนส์วัตถุ และใช้ฉากสีเทาอ่อนรับภาพ และโซนสุดท้ายคือโซนถ่ายภาพดวงอาทิตย์ โซนนี้จะเป็นการถ่ายภาพปรากฏการณ์สุริยุปราคา ทั้งนี้ทางท้องฟ้าจำลองจัดเตรียมทีวีที่ต่อภาพจากกล้องดูดาวเพื่อสังเกต ปรากฏการณ์ โดยมีประชาชน นักเรียน นักศึกษาที่ให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้อย่างคึกคักจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 14.20 น. เริ่มเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคา โดยดวงจันทร์เคลื่อนตัวเข้ามาบดบังดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดการเว้าแหว่งขึ้นด้านล่างขวาของดวงอาทิตย์เล็กน้อย ทำให้กลุ่มผู้ที่มาสังเกตการณ์ต่างตื่นเต้นอย่างมาก ส่วนมากจะต่อแถวดูปรากฏการณ์ผ่านกล้องดูดาวที่ทางเจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ ให้ และมีบางส่วนดูจากทีวี

สำหรับครั้งนี้ทั่วทุกภาคท้องฟ้าแจ่มใส สามารถเห็นสุริยุปราคาได้อย่างชัดเจน

-น.ร.ตื่นเต้น-ได้ความรู้มาก

ด.ญ.ชนัญญา พงษ์นาค นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนดาราคาม กล่าวว่า รู้สึกสนุกและตื่นเต้นมากๆ วันนี้ตนและเพื่อนๆ ได้รับความรู้มากยิ่งขึ้น เพราะก่อนมาทางโรงเรียนได้แนะแนวมาแล้ว แต่พอมาดูที่นี่ก็ได้รับความรู้จากวิทยากรอีก ถ้าครั้งหน้ามีโอกาสมาดูอีกแน่ๆ

"เงาของดวงจันทร์แม้จะเล็ก แต่เมื่ออยู่ในแนวตรงกับดวงอาทิตย์ที่มีขนาดใหญ่ สามารถทำให้เราเห็นปรากฏการณ์ที่เงาดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ได้ ทำให้เข้าใจถึงการโคจรของดวงดาว" ด.ญ. ชนัญญากล่าว

นายบุญชู ศิริลิขิตานนท์ อายุ 75 ปี ชาวกรุงเทพฯ กล่าวว่า ตอนอายุประมาณ 10 ขวบ ได้ดูปรากฏการณ์สุริยุปราคามาแล้วครั้งหนึ่ง จำได้ว่าตอนที่เกิดปรากฏการณ์ท้องฟ้ามืดไปหมด เหลือแค่แสงจากดวงอาทิตย์ออกมานิดเดียว บรรยากาศแทบจะเหมือนตอนโพล้เพล้ นกบินกลับรังหมด จึงอยากมาดูว่าครั้งนี้จะกินเต็มดวงเหมือนเมื่อก่อนหรือไม่

สุริยคราส - ชาวจีนนั่งชมสุริยุปราคาวงแหวนในเมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน ภาคกลางของจีน โดยปรากฏการณ์ที่ได้ชมวงแหวนนี้กินเวลานาน 11 นาที 8 วินาที จะเป็นสถิติที่อยู่ไปยาวนานถึง 1,000 ปี



นายสิทธิชัย จันทรศิลปิน หัวหน้ากลุ่มดารา ศาสตร์ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา กล่าวถึงปรากฏการณ์สุริยุปราคาว่า ปกติสุริยุปราคาจะเกิดขึ้นและสังเกตได้บนพื้นโลก เฉลี่ยแล้วปีละ 2 ครั้ง โดยจะเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคาคู่กันอยู่เสมอ คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง ในอีก 15 วันก็จะเกิดอีกอย่างหนึ่ง ยกตัวอย่างวันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา มีการเกิดจันทรุปราคา ให้หลัง 15 วัน เกิดสุริยุปราคา เป็นต้น ทั้งนี้เพราะแนวระนาบของโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ ยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก เกิดการโคจรเพียงแต่เปลี่ยนด้านกันเท่านั้น ถ้าดวงจันทร์ไปอยู่ด้านตรงข้ามกับดวงอาทิตย์จะเกิดจันทรุปราคา แต่ตอนนี้ดวงจันทร์มาอยู่ด้านเดียวกับดวงอาทิตย์ ทำให้บังดวงอาทิตย์ จึงเกิดสุริยุปราคา

-เผยอีก 2 ปีเกิดสุริยุปราคา

"ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นทุกๆ ปี เฉลี่ยแล้ว 2 ครั้ง แต่ที่เข้าใจว่าสุริยุปราคาเกิดน้อยเพราะว่าเวลาเกิดจันทรุปราคาบนโลก ผู้คนมีโอกาสเห็นปรากฏการณ์ครึ่งโลก หมายความว่าคนที่อยู่ในช่วงเวลากลางคืน มีโอกาสเห็นหมดเลย แต่เวลาเกิดสุริยุปราคาพื้นที่ที่จะเห็นมีน้อย เพราะต้องขึ้นอยู่กับว่าเงาดวงจันทร์ตกส่วนไหนของโลก คนที่อยู่ใต้เงาดวงจันทร์ ถึงจะมีโอกาสเห็นปรากฏ การณ์ โดยเงาดวงจันทร์ที่ตกมาบนโลกมีด้วยกัน 2 แบบ คือเงามืด และเงามัว ถ้าเรานึกถึงวงกลมใหญ่ๆ วงหนึ่ง จุดศูนย์กลางของวงกลมมีพื้นที่เล็กๆ นั้นคือเงามืด และวงที่เหลือข้างนอกคือเงามัว ฉะนั้นถ้าเงานี้ไปตกบนพื้นที่โลกตรงไหน คนที่อยู่ใต้เงามืดจะมีโอกาสเห็นสุริยุปราคาแบบเต็มดวง แต่ถ้าอยู่ตรงขอบนอกก็จะเห็นเป็นบางส่วนเพราะอยู่ในเงามัว โดยประเทศไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะอยู่ในเงามัว เราจึงเห็นแค่บางส่วน" นายสิทธิชัย กล่าว

นายสิทธิชัย กล่าวต่อว่า การเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคา นอกจากจะเกิดแบบเต็มดวงและแบบบางส่วนแล้ว ยังมีสุริยุปราคาแบบวงแหวนอีก ซึ่งจะคล้ายกับการเกิดสุริยุปราคาแบบเต็มดวง คือดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ แตกต่างที่ขนาดของดวงจันทร์ โดยปกติดวงจันทร์จะโคจรรอบโลกเป็นวงรี จะมีระยะห่างจากโลกไม่เท่ากัน ทำให้บางช่วงดวงจันทร์ใกล้โลก บางช่วงดวงจันทร์ไกลโลก ช่วงที่ไกลโลกขนาดปรากฏจะเล็กลง และถ้าช่วงนั้นดวงอาทิตย์กับโลกโคจรเข้ามาใกล้กัน ขนาดปรากฏดวงอาทิตย์จะใหญ่ขึ้น และดวงจันทร์ขณะที่มีปรากฏเล็ก พอบังดวงอาทิตย์ จะไม่สามารถบังดวงอาทิตย์ได้มิด ทำให้ทิ้งขอบนอกเอาไว้ จึงเกิดสุริยุปราคาแบบวงแหวนขึ้น

"ถ้าเราสังเกตให้ดี การเกิดสุริยุปราคาช่วงต้นปีมักจะเป็นการเกิดสุริยุปราคาแบบวงแหวน เหตุผลเพราะว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี และมีตำแหน่งใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดในช่วงวันที่ 4 ม.ค.ของทุกปี ฉะนั้นช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่ พอดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์จึงบังได้ไม่มิด จึงทิ้งขอบนอกไว้เป็นวงแหวน ถ้านับต่อไปอีก 6 เดือน คือวันที่ 4 ก.ค. โลกจะมีตำแหน่งในวงโคจรไกลจากดวงอาทิตย์มากที่สุด ทำให้ช่วงนั้นเราจะเห็นดวงอาทิตย์มีขนาดปรากฏเล็กที่สุด เพราะฉะนั้นถ้าเกิดปรากฏการณ์สุริยุป- ราคาในช่วงนั้น ดวงจันทร์จะบังดวงอาทิตย์หมด โดยคนไทยสามารถเห็นปรากฏการณ์สุริยุปราคาได้อีกครั้งในอีก 2 ปีข้างหน้านี้คือปี พ.ศ.2555 แต่จะเห็นเป็นบางส่วนเท่านั้น ทั้งนี้เพราะประเทศไทยไม่ได้อยู่ใจกลางวงแหวน ช่วงเวลาที่เริ่มเกิดนั้น ตามเวลาประเทศไทยจะเป็นช่วง 04.00 น. และอีกครั้งในปี พ.ศ.2559 ซึ่งประเทศไทยสามารถเห็นปรากฏการณ์สุริยุปราคาได้ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้น"หัว หน้ากลุ่มดาราศาสตร์กล่าว

-300น.ร.สัตหีบดูปรากฏการณ์

เมื่อเวลา 15.00 น. นายทวี สุขแก้ว ผู้ช่วยผอ.โรงเรียนธัมมศิริศึกษาสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชล บุรี นำนักเรียนกว่า 300 คน พร้อมอุปกรณ์การ ส่องดูดาว ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์มาที่สนามกีฬาของโรงเรียน เพื่อให้นักเรียนเรียนรู้และวิเคราะห์ปรากฏการณ์สุริยุปราคาที่จะเกิดขึ้น โดยธรรมชาติสุริยุปราคาหรือสุริยคราสเป็นช่วงเวลาที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่ เข้าไปอยู่ระหว่างโลกและดวงอาทิตย์ วันที่เกิดสุริยุปราคานั้นเป็นเพราะระนาบวงโคจรของดวงจันทร์ไม่ได้อยู่ใน ระนาบเดียวกันกับระนาบวงโคจรของโลก แต่จะเอียงทำมุม 5 องศา ทำให้มีบางโอกาสที่โลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ จะมาอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกันพอดี ส่วนที่ประเทศไทยคงเหมือนกับอีกหลายประเทศ ที่จะได้เห็นปรากฏการณ์ดังกล่าว และสามารถจะเห็นได้ทั่วภูมิภาค โดยแต่ละที่อาจจะเห็นปรากฏ การณ์ที่เกิดขึ้นนี้แตกต่างกันไป เช่นที่ กทม. ดวงจันทร์จะเริ่มเข้าสู่ระบบสัมผัสที่ 1 ในเวลาประมาณ 14.00 น. และสิ้นสุดเวลา 16.58 น.

นายทวี กล่าวว่า วันนี้นำนักเรียนจำนวนกว่า 300 คน มาศึกษาปรากฏการณ์สุริยุปราคาที่เกิดขึ้น สำหรับการเกิดสุริยุปราคาวงแหวนเป็นสิ่งปกติของสุริยุปราคาที่เกิดในเดือน ม.ค. เนื่องจากเป็นเดือนที่ดวงอาทิตย์อยู่ใกล้โลกมากที่สุด ดังนั้นจึงเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงได้ยาก ครั้งนี้ไทยอยู่ใกล้แนวคราสวงแหวน จึงเห็นสุริยุปราคาบางส่วน ซึ่งแต่ละภาคจะเห็นการบดบังไม่เท่ากัน แต่ตลอดปรากฏการณ์สุริยุปราคาวงแหวนและสุริยุปราคาบางส่วน ไม่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า

-"คุณหญิงกัลยา"ชี้เด็กไทยตื่นตัว

เมื่อเวลา 16.00 น. คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เดินทางไปชมปรากฏการณ์สุริยุปราคา ที่ลานหน้าอาคารกรมประชาสัมพันธ์ ซ.อารีย์ พร้อมเปิดเผยว่า การเกิดสุริยุปราคาในวันที่ 15 ม.ค. นับเป็นครั้งสุดท้ายของรอบนี้ คงต้องรออีก 2 ปีที่จะมีปรากฏการณ์ธรรมชาติแบบนี้ขึ้นอีก อย่างไรก็ตามตลอดปี 2552 จนถึงต้นปี 2553 ที่ผ่านมาพบว่าประชาชนไทย โดยเฉพาะเยาวชนตื่นตัวกับการติดตามชมปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมาก ถือเป็นเรื่องที่ดี จะเห็นได้จากหลายคนเริ่มที่จะมีความอยากรู้อยากเห็น และตั้งข้อสังเกตมากขึ้น เช่นเมื่อปลายปีที่ผ่านมามีการพูดถึงเรื่องวัตถุประหลาดบนท้องฟ้า จนมีการสอบถามเข้ามาที่ตน และหน่วยงานในสังกัดเยอะมาก ทำให้มีการตรวจสอบและเผยแพร่ความรู้ที่เกี่ยวข้อง แม้ว่าต่อมาจะพบว่าเป็นเพียงบอลลูนที่ส่งขึ้นไปเพื่อโปรโมตงานของห้างสรรพ สินค้า แต่แสดงให้เห็นว่าคนไทยตื่นตัวมาก และกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ก็ยินดีตอบคำถามเหล่านี้โดยไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องเสียหน้าอะไร หากไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติขึ้นมาจริงๆ จึงอยากให้ทุกคนตั้งคำถามให้เยอะๆ

เมื่อถามว่ามีประชาชนบางส่วนยังเชื่อเรื่องของโชคลาง และโหราศาสตร์อยู่ คุณหญิงกัลยา กล่าวว่า การมีความเชื่อเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิด เพราะเรื่องของโหราศาสตร์ หรือการทำนายทายทักต่างๆ เป็นเรื่องของตัวเลข สถิติ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของทุกคนว่าจะเชื่อมากน้อยแค่ไหน หากไม่ได้ทำให้ใครเสียหายก็ไม่เป็น เช่น หากจะไหว้พระจันทร์ หากทำให้สบายใจก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ควรจะกระทำทุกอย่างอย่างมีเหตุมีผล อย่าเชื่ออย่างงมงายเท่านั้น

-เด็กอนุบาลสนุกชมสุริยคราส

เมื่อเวลา 14.30 น. ที่โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดแก้วพิจิตร) อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี นายปรีชา หงส์เจริญ ผอ.โรงเรียน พร้อมนางเกสร รัตนโมรา ครูชำนาญการพิเศษและคณะครูนำนักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาล ถึง ม.3 กว่า 200 คน ร่วมชมปรากฏการณ์สุริยุปราคาวงแหวน ซึ่งเห็นได้บางส่วนในประเทศไทย พร้อมมีการบรรยายให้ความรู้แก่นักเรียน และแจกแว่นตาที่ตัดจากแผ่นฟิล์มเอกซเรย์ที่ใหม่ไม่ผ่านการใช้ที่รับบริจาค จาก ร.พ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร เด็กนักเรียนต่างสนุกสนานที่ได้ชมจากท้องฟ้าจริง ทั้งนี้มี ด.ญ. นันทวรรณ ศรีชุมพล อายุ 7 ปี ชั้น ป.1 นักเรียนพิการหูหนวกเป็นใบ้ร่วมชมอย่างมีความสุขด้วย

นายปรีชากล่าวว่า ทางโรงเรียนเห็นว่าปรากฏ การณ์ที่เกิดขึ้น นักเรียนได้เห็นจริง เป็นการใช้สื่อการสอนจากธรรมชาติ สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ ที่เป็นศูนย์กลางการเรียนการสอนอย่างแท้จริงอีกรูปแบบหนึ่ง และในเร็วๆ นี้ จะร่วมเข้าเป็นโรงเรียนเครือข่ายสถาบันวิจัยดาราศาสตร์ด้วย


หน้า 1
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNakUyTURFMU13PT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1DMHdNUzB4Tmc9PQ==
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809/wordcamp-bangkok-2009-pool-party

จุดจบคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน




วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553 เวลา 20:30:30 น.  มติชนออนไลน์

จุดจบคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน

โดย ประสงค์ วิสุทธิ์

บ่ายวันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553  สำหรับประเทศไทยแล้ว ถือเป็นวันหยุดโลกซึ่งทุกฝ่ายจับตามองว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะตัดสินคดียึดทรัพย์ที่สุด ในประวัติศาสตร์มูลค่าถึง 76,621  ล้านบาท อย่างไร


มองกันว่า ไม่ว่า ผลของคดีจะออกมาอย่างไร อาจเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองที่สำคัญ


ในคดีนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกกล่าวหาว่า ร่ำรวยผิดปกติ เพราะได้ทรัพย์สินจำนวนดังกล่าวมาจากการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี(ระหว่าง เดือนกุมภาพันธ์ 2544-มีนาคม 2548)โดยมิชอบหรือใช้อำนาจ สั่งการ มอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐภายใต้บังคับบัญชา หรือกำกับดูแลของผู้ถูกกล่าวหา กระทำการที่เป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) และบริษัทในเครือ


ดังนั้น โจทก์(อัยการสูงสุด) จึงร้องต่อศาลให้ยึดทรัพย์ทั้งหมด 76,621 ล้านบาทตกเป็นของแผ่นดิน


คำถามที่เจอเป็นประจำคือ ศาลจะสั่งจะยึดทรัพย์ทั้งหมด หรือยึดเพียงบางส่วน น้อยนักที่จะถามว่า ศาลจะยกฟ้องหรือไม่


เพื่อความเข้าใจว่าในการติดตามคดีนี้   ต้องรู้ว่า ประเด็นที่ศาลฎีกาฯต้องชี้ขาดมีอย่างน้อย 3 ประเด็นคือ


หนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ "ซุกหุ้น"บริษัท ชินคอร์ปฯผ่านบริษัทและบุคคลต่างๆ เช่น บริษัท แอมเพิลริช อินเวสต์เมนต์  บริษัท วินมาร์ค ญาติพี่น้อง และลูกๆ หรือไม่เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ปฏิเสธมาตลอดว่า ได้โอน(ขาย)หุ้นเหล่านี้ไปหมด ในช่วงดำรงตำแหน่งงนายกรัฐมนตรี


สอง พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจหน้าที่ในการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทชินคอร์ป 5 กรณี หรือไม่ ดังนี้


 1.กรณีแปลงค่าสัมปทานเป็นค่าภาษีสรรพสามิต เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทชินคอร์ปและบริษัทในเครือ
 

2.กรณีการแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการ ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (PREPAID CARD) ให้กับบริษัท เอไอเอส


3.กรณีการแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่าย ร่วม (ROAMING) และกรณีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายรวม เป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทเอไอเอส


4.กรณี อนุมัติ และส่งเสริมการลงทุนดาวเทียมไอพีสตาร์โดยมิชอบหลายกรณี ได้แก่ การอนุมัติโครงการดาวเทียม, การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปในบริษัท ชินแซทเทิลไลท์


5.กรณีอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่ากู้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและ นำเข้าแห่งประเทศไทย เป็นเงิน 4,000 ล้านบาท เพื่อประโยชน์ของบริษัท ชินแซทเทลไลท์


ถ้าศาลเห็นว่า ประเด็นที่หนึ่งและสองเป็นไปตามข้อกล่าวหา ก็หมายความว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติจริง จึงจะเข้าสู่การพิจารณาประเด็นที่สามคือ การสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินหรือยึดทรัพย์ว่า จะยึดทรัพย์สินบางส่วนหรือยึดทั้งหมดซึ่งมี 2 แนวคิดใหญ่ๆ


แนวคิดแรก คิดจากจากตรรกะพื้นฐานว่า ก่อนเข้าสู่ตำแหน่งนายกฯมีทรัพย์สินอยู่เท่าไหร่หรือมีมูลค่าเท่าใด นำไปหักออกจากมูลค่าทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงขึ้นในช่วงดำรงตำแหน่งที่ใช้ อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ แล้วยึดทรัพย์สินส่วนที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น


แนวคิดที่สอง เป็นของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) มองว่า ต้องมีการลงโทษผู้กระทำผิด เพราะพ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมรับว่า หุ้นดังกล่าวเป็นของตนเอง แต่กลับใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้หุ้นซุกไว้กับผู้อื่น เท่ากับใช้ทรัพย์สินนั้นในการกระทำผิด


ดังนั้นเมื่อศาลตัดสินให้ยึดทรัพย์ ต้องยึดทั้งก้อน มิใช่คืนในส่วนต้นทุนเป็นทรัพย์สินเดิม ที่ยกเป็นตัวอย่างคือ เงิน 100 บาท นำมาใช้เป็นต้นทุนในการค้ายาเสพติด เพิ่มมาเป็น 1,000 บาท ศาลมีคำสั่งยึดทั้งหมด มิใช่เพียง 900 บาท


ที่พูดกันมากอีกประเด็นคือ มีการแทรกแซงการการพิจารณาคดีหรือไม่เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหา เป็นผู้มีอิทธิพลทั้งการเมืองและการเงิน


ถ้าใครดูภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง "SWAT" ซึ่งเป็นตำรวจหน่วยหนึ่งมีหน้าที่ต้องคุมตัวผู้ต้องหาค้ายาเสพติดรายใหญ่จากสถานีตำรวจแห่งหนึ่งในนครนิวยอร์คไปส่งที่เรือนจำรัฐ  

ช่วงหนึ่งผู้ต้องหามีโอกาสให้สัมภาษณ์ทีวีได้ประกาศว่า ถ้าใครช่วยตนออกไปได้จะให้ 100 ล้านดอลลาร์(ประมาณ 4,000 ล้านบาทในขณะนั้น)


เท่านั้นเอง บรรดาแก๊งอาชญากรรมทั้งนครนิวยอร์คผนึกกำลังขนอาวุธหนักถล่ม หน่วย SWAT อย่างหนัก แต่ก็รอดมาได้อย่างหวุดหวิด จนต้องมีการวางแผนนำตัวผู้ต้องหาหลบหลีกไปอีกเส้นทางหนึ่ง


แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นคือ ตำรวจหน่วย SWATซึ่งอยู่ในคณะที่คุมตัวผู้ต้องหาเกิดทรยศเพราะต้องการเงิน 100 ล้านดอลลาร์ วางแผนพาตัวพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่หนีเสียเอง


แม้ตอนจบ  หน่วย SWAT สามารถชิงตัวผู้ต้องหากลับมาได้ และคนที่ทรยศก็ถูกยิงตาย แต่ก็ชี้ให้เห็นว่า เงินจำนวนมหาศาลไม่เข้าใครออกใคร ขนาดจ้างผีโม่แป้งก็ยังได้


เมื่อเปรียบเทียบกับทรัพย์สิน 76,000 ล้านบาท แลกกับ 5,000 ล้านบาทแล้ว ถือว่า คุ้มค่ามาก


ส่วนตอนจบจะเป็นแบบ SWAT หรือไม่ ต้องคอยดูกันต่อไป


 




อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
กองทุนลับ"ซิเนตรา"จุดตาย "ทักษิณ" คดียึดทรัพย์ 7.6หมื่นล้าน (จบ)..โดย ประสงค์ วิสุทธิ์
กองทุนลับ "ซิเนตรา" จุดตาย "ทักษิณ" คดียึดทรัพย์ 7.6หมื่นล้าน (1) ..โดย ประสงค์ วิสุทธิ์
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1263556890&grpid=&catid=02
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809/wordcamp-bangkok-2009-pool-party

หยุด!มอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช หยุดผลาญชาติทำลายชุมชน(1)

การเมือง : นโยบาย

วันที่ 15 มกราคม 2553 15:14

หยุด!มอเตอร์เวย์บางปะอิน–โคราช หยุดผลาญชาติทำลายชุมชน(1)

ภาพประกอบข่าว




จ่อร้องศาลปกครองสกัดมอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราชแพงโคตร6หมื่นล้าน 280ล้าน/กม. ร่นทางแค่5ก.ม.ตัดผ่าเขาใหญ่มรดกโลก แสบยัดไส้ผ่านEIA ขัดม.67วรรค2

แม้จะมีข้อครหาอ้างจาก"กลุ่มผู้สนับสนุนอำนาจเก่า" ทำนองว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 คือ"ผลไม้พิษ"จากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แต่อีกด้านหนึ่งนักกฎหมายมหาชน และแกนนำภาคประชาชนหลายคนต่างเห็นตรงกัน รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก้าวหน้าด้านสิทธิเสรีภาพของประชาชนและชุมชน เหนือกว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ที่ยกย่องว่าเป็น"ฉบับประชาชน" 

ดังตัวอย่างรูปธรรมจากชัยชนะของ"ชาวมาบ ตาพุดระยอง" ที่ใช้รัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรคสอง เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ผ่านกระบวนการศาลปกครอง จนสามารถหยุดยั้งมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมที่จะก่อตั้งขึ้นใหม่ ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีกฎหมายลูกรองรับ แต่ศาลก็เห็นว่าสิทธิของชุมชนได้รับความคุ้มครองแล้วตามเจตนารมณ์ของรัฐ ธรรมนูญ

นั่นคือคำอธิบายอย่างรวบรัดที่สะท้อนถึงความก้าวหน้าของรัฐธรรมนูญปัจจุบัน 

แต่ขณะนี้ กำลังจะมีการละเมิดสิทธิชุมชม ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรคสอง ที่น่าจับตาเข้าสู่การพิจารณาของศาลปกครองอีกคดีหนึ่ง อันเนื่องมาจากความพยายามผลักดันโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 สายบางปะอิน-นครราชสีมา(มอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช) มูลค่า 60,000 ล้านบาท ของกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม 

ชาวบ้านหลายชุมชนที่จะได้รับผลกระทบจาก การก่อสร้าง โดยเฉพาะ อ.กลางดง อ.สีคิ้ว และอ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เห็นว่าที่ผ่านมากรมทางหลวงมุ่งดำเนินโครงการแบบ “มัดมือชก” ไม่ได้ให้ข้อมูลแก่ผู้มีส่วนได้เสียอย่างกว้างขวางเท่าที่ควร ยิ่งกระบวนการมีส่วนร่วมตัดสินใจของชุมชนก็เป็นไปอย่างจำกัด 

ก่อนโครงการนี้จะได้"ไฟเขียว" คือได้รับความเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) ในเดือนพฤศจิกายน 2549 แต่ด้วยปัญหาทางการเมืองในปี 2550 - 2551 โครงการนี้จึงถูกชะลอไว้ และถูกฟื้นอีกในปี 2552 ขณะเดียวกัน คณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ก็ได้รับการร้องเรียนถึงความไม่โปร่งใส ความไม่คุ้มค่าของโครงการ และผลกระทบต่อทรัพยากรและวิถีชีวิตของชุมชนตลอดแนวทางก่อสร้าง ตลอดจนการละเมิดสิทธิของผู้มีส่วนได้เสียตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรคสอง 

ต่อมา วันที่ 18 ธันวาคม 2552 คณะกรรมาธิการศึกษาฯ วุฒิสภา ร่วมกับ คณะอนุกรรมาธิการส่งเสริมภาคประชาชนป้องกันการทุจริต ประพฤติมิชอบในทรัพย์สินของรัฐ วุฒิสภา ได้จัดการเสวนา “โครงการมอเตอร์เวย์ บางปะอิน - โคราช 6 หมื่นล้าน : ใครได้-ใครเสีย” ณ อาคารรัฐสภา มีผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ถูกผลระทบ มาร่วมประมวลข้อเท็จจริงและความคิดเห็นอย่างมากมาย พอสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้

มอเตอร์เวย์ได้ไม่คุ้มเสีย: ย่นระยะทางจากเดิมแค่ 5 ก.ม.

นายทวิสันต์ โลณานุรักษ์ เลขาธิการหอการค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2540 กลุ่มประชาสังคมโคราชได้ประมวลความต้องการของประชาชนไว้ 11 เรื่อง จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้ทำ แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม(โสภณ ซารัมย์) จะผลักดันแต่โครงการมอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช ให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี ทั้งๆ ที่ชาวอีสานไม่ต้องการ ด้วยเหตุผล

1) เป็นการพัฒนาแบบยัดเยียด โดยนายกรัฐมนตรี(นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ) เคยชูเรื่อง“รถไฟรางคู่” ในการหาเสียงที่ผ่านมา แต่กลับให้รัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทยยัดเยียดมอเตอร์เวย์ลงมา

2) เป็นการพัฒนาแบบทำลายสิ่งแวดล้อม ในอดีตชาวโคราชเคยต่อต้านโรงไฟฟ้าลำตะคอง(แบบสูบกลับ) มูลค่า 23,000 ล้านบาท แต่ภาครัฐก็ดึงดันสร้าง ถึงวันนี้ต้องตรวจสอบความคุ้มค่าโครงการนี้

3) ก่อให้เกิดความแตกแยก ที่ผ่านมา ว่าจ้างสถาบันการศึกษาออกแบบสอบถามประชาชน(ที่มีรถยนต์) ว่าโครงการมอเตอร์เวย์ฯ ดีหรือไม่ เป็นการชี้นำคำตอบในตัว และเพิ่มความแตกแยกขัดแย้งกันมากอยู่แล้วจากโครงการขุดอุโมงค์กลางเมือง

นายทวิสันต์ กล่าวอีกว่า ข้อดีมอเตอร์เวย์ฯ ตามข้ออ้างของกรมทางหลวง ส่วนใหญ่เลื่อนลอย เช่น ถนนมิตรภาพมีรถยนต์เพิ่มประมาณร้อยละ 20 ต่อปี มอเตอร์เวย์ฯจะแก้ปัญหาได้ ค่าก่อสร้างจะสูงขึ้นทุกปีจึงจำเป็นต้องรีบก่อสร้าง(ด้วยเงินโครงการไทยเข้ม แข็ง) นอกจากนี้ จะเกิดการจ้างงานในพื้นที่ แม้จะย่นระยะจากเดิมได้ 5 กิโลเมตร แต่จะลดเวลาเดินทางจาก 3 ชั่วโมง เหลือ 2 ชั่วโมง(ถ้าสามารถทำความเร็วได้) 

ส่วนข้อเสีย มอเตอร์เวย์ฯ สำคัญๆ มีดังนี้ เพิ่มค่าใช้จ่ายเดินทางของประชาชน(ค่าผ่านทาง) เที่ยวละ 200 บาท ผู้ประกอบการผลักภาระให้ผู้บริโภคทั้งค่ารถโดยสารและค่าขนส่งสินค้า

ค่าก่อสร้างเงินกู้เป็นหนี้สาธารณะที่ คนไทยต้องรับผิดชอบร่วมกัน หากเกินร้อย 60 ต่อ GDP(ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) จะเป็นอันตรายต่อความมั่นคงทางการเงินของประเทศในอนาคต

ประเทศไทยยังไม่สามารถแก้ปัญหา คอร์รัปชันได้ ล่าสุดคะแนนชี้วัดภาพลักษณ์ความโปร่งใสของไทยอยู่ที่ 3.4 จากคะแนนเต็ม 10 ใครจะรับประกัน 60,000 ล้านบาทจะไม่มีคอร์รัปชัน

ประชาชนตลอดเส้นทางก่อสร้างยังไม่ทราบ ข้อมูล ข้อดี-ข้อเสียของโครงการ โดยเฉพาะการละเมิดสิทธิชุมชน ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรคสอง

วิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชนจะถูกทำลาย ตั้งแต่ อ.แก่งคอย อ.ปากช่อง อ.สีคิ้ว อ.สูงเนิน อ.ขามทะเลสอ ฯลฯ เพราะมอเตอร์เวย์จะมีรั้วกั้นแบ่งแยกตัดขาดชุมชนเป็น 2 ฝั่ง ยากต่อการข้ามไปมาหาสู่ 

ถนนมิตรภาพยังใช้งานได้ไม่เต็มที่ เพราะช่องซ้ายชำรุดเกือบตลอดแนว หากซ่อมบำรุงให้ดีจะลดอุบัติเหตุและระบายการจราจรได้ดีขึ้นในช่วงเทศกาล 

รถยนต์ทุกชนิดสามารถใช้มอเตอร์เวย์ได้ ทำให้รถที่มีความเร็วสูงไม่สามารถใช้ความเร็วได้เกิน 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จึงไม่ใช่ทางเลือกใหม่ และอาจเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงจากรถที่ไม่ได้มาตรฐาน

มอเตอร์เวย์ทำใครเข้มแข็ง แพงโคตร 280ล้าน/ก.ม. 

ทันตแพทย์ ศุภผล เอี่ยมเมธาวี ผู้ประสานงานสมัชชาประชาชนภาค อีสาน 19 จังหวัด กล่าวว่าคนโคราชส่วนใหญ่ไม่ต้องการมอเตอร์เวย์ เช่นเดียวกับคนนครปฐมไม่ต้องการมอเตอร์เวย์ลงใต้ จากการไปศึกษาดูงานประเทศเวียดนาม ต้นทุนค่าขนส่งเวียดนามเท่ากับร้อยละ 25 ของ GDP ส่วนต้นทุนค่าขนส่งของไทยอยู่ที่ร้อยละ 19 ต่อ GDP 

กรมทางหลวงมีแผนจะสร้างมอเตอร์เวย์รวม 5 สาย เริ่มจากบางปะอิน - โคราช โดยอ้างเหตุผลทางจราจร ความปลอดภัย การกระตุ้นเศรษฐกิจ และเชื่อมเส้นทางขนส่งจากอันดามันสู่ประเทศลาวและเวียดนาม โดยไม่คำนึงว่าต้นทุนการขนส่งทางถนนของไทยสูงกว่าระบบราง 4 เท่าตัว 

ขณะที่เวียดนามกำหนดยุทธศาสตร์ในปี ค.ศ.2020 เวียดนามจะเปิดเดินรถไฟหัวกระสุน(ชินคันเซน) ความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากเมืองดานังเชื่อมระบบขนส่งครอบคลุมทั้งประเทศ

ทันตแพทย์ศุภผล เปรียบโครงการมอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช เสมือน“เส้นทางไฮโซ” ระยะทาง 199 กิโลเมตรจ่ายค่าผ่านทาง 200 บาท/เที่ยว แต่ต้นทุนรวมโดยเฉลี่ยประมาณ 280 ล้านบาทต่อกิโลเมตร ขณะที่รถไฟหัวกระสุนมีต้นทุนค่าก่อสร้างเฉลี่ย 130 ล้านบาทต่อกิโลเมตร เทียบกับค่าก่อสร้างระบบรถไฟรางคู่ของไทยเฉลี่ย 180 ล้านบาทต่อกิโลเมตร จึงชวนให้คิดว่าโครงการนี้"ใครเข้มแข็ง"

"มอเตอร์เวย์ของกรมทางหลวงทั้ง 5 สายจะต้องใช้งบประมาณ 150,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาสร้างระบบรางคู่ได้ทั่วประเทศ แต่รัฐบาลคิดไม่เป็น วันนี้พิสูจน์แล้วว่าเขื่อนลำตะคองสูบกลับใช้ไม่ได้ ชาวบ้านเคยคัดค้านแต่ก็ไม่ฟัง แล้วใครจะรับผิดชอบเงินลงทุน 23,000 ล้านบาท ดังนั้นจึงขอยืนยัน ระบบราง คือคำตอบสุดท้ายที่จะทำให้ต้นทุนการขนส่งของไทยลดลงจากร้อยละ 19 ต่อ GDP เหลือร้อยละ 11 ต่อ GDP" ทันตแพทย์ศุภผล กล่าว

กรมทางหลวง เหลวไหล! ชวนประชาชนร้องศาลปกครอง

นายประเทือง ปรัชญพฤทธิ์ ประธานเครือข่ายรณรงค์สื่อต้านคอร์รัปชัน กล่าวว่าได้ติดตามโครงการมอเตอร์เวย์ บางปะอิน - โคราช ตั้งแต่เริ่มก่อตัวในปี 2547 - 2548 ขณะนั้นต้นทุนโครงการ 29,000 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 60,000 ล้านบาทในปัจจุบัน และเชื่อว่าต่อไปอาจจะเพิ่มถึง 100,000 ล้านบาท  

"กรมทางหลวงทำโครงการเหลวไหลประจำ ชอบทำประชาพิจารณ์แบบงุบงิบตามสไตล์ ภาคประชาชนสามารถตอบโต้กรมทางหลวงได้ทุกประเด็น ที่ควรจับตาก็คือการจ้างบริษัทที่ปรึกษาโครงการ 4 ราย วงเงิน 76 ล้านบาท เพื่อจะได้เห็นเส้นทางคอร์รัปชัน รวมทั้งงบประมาณที่กำลังจะจ่ายกว่า 100 ล้านบาทเพื่อเตรียมเวนคืนที่ดิน หากโครงการนี้ยกเลิกไป ใครจะรับผิดชอบงบประมาณที่จ่ายไปแล้ว"

นายประเทือง กล่าวด้วยว่า กรมทางหลวง คิดไปทำไป เปิดช่องให้เกิดคอร์รัปชันอย่างร่าเริง ตั้งงบประมาณตามอำเภอใจ เงิน 60,000 ล้านบาทควรเอาเงินมาสร้างรถไฟรางคู่ที่มีประสิทธิภาพเกิดประโยชน์ใช้สอย มากกว่า ดังนั้น จึงไม่ควรเสียเวลากับโครงการเหลวไหล และขอเชิญประชาชนที่คิดว่าได้รับผลกระทบไปทอดกฐินที่ศาลปกครอง

ย่ำยีมรดกโลกเขาใหญ่ ชวนฟ้องศาลปกครอง ใช้ม.67 วรรคสอง

นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระ (ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี) กล่าวว่าโครงการมอเตอร์เวย์ บางปะอิน - โคราช ผ่ากลางพื้นที่มรดกโลกของอุทยาทแห่งชาติเขาใหญ่ ผืนป่าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ มีสัตว์ป่ามากถึง 800 สายพันธุ์ สำนักทางหลวงที่ 8 ก็ยอมรับในเว็บไซต์กรมทางหลวงว่า โครงการนี้บุกรุกป่าในบริเวณมรดกโลก ดังนั้น กรมทางหลวงควรเสนอให้รัฐบาลถอนมรดกโลกก่อนสร้างมอเตอร์เวย์ เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกประจานภายหลัง 

ถ้ากรมทางหลวงไม่เสนอให้ถอนมรดกโลก ภาคประชาชนก็จะทำหนังสือถึงคณะกรรมการมรดกโลก ให้มาตรวจสอบผลกระทบของโครงการมอเตอร์เวย์ฯ เพราะกว่าเขาใหญ่จะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ต้องใช้เวลาถึง 4 ปี นอกจากนี้แนวก่อสร้างยังตัดผ่านโบราณสถานสำคัญคือ แหล่งตัดหินสีคิ้ว (ที่ใช้สร้างปราสาทหินพิมาย) และ เมืองโบราณเสมา ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานคณะอนุกรรมาธิการส่งเสริมภาคประชาชนป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบใน ทรัพย์สินของรัฐ วุฒิสภา ในฐานะผู้ดำเนินรายการ แสดงความเห็นเสริมว่า เมื่อโครงการมอเตอร์เวย์ บางปะอิน - โคราช ไม่ได้ทำตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรคสอง ดังนั้น ประชาชนสามารถใช้สิทธิฟ้องศาลตามบทบัญญัติในวรรคสาม (สิทธิของชุมชนที่จะฟ้องหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรอื่นของรัฐที่เป็นนิติบุคคล เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัตินี้ย่อมได้รับความคุ้มครอง) 

ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญฯ สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าหัวใจของการประชาพิจารณ์คือการมีส่วนร่วมของประชาชน การศึกษาผลกระทบด้านสังคม (Social Impact Assessment : SIA) คือส่วนหนึ่งของการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) ในฐานะที่เคยเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบ EIA ในปี 2542 - 2544 และมีโอกาสศึกษาปัญหา SIA ในการก่อสร้างทางหลวงสาย “นครปฐม-ชะอำ” จึงได้ข้อสรุปจากบทเรียนที่ผ่านๆ มาว่า ประชาชนไม่ควรปล่อยโครงการที่ไม่ชอบใจให้ผ่านไป เพราะจะต้องทนอยู่กับผลกระทบอย่างถาวร 

ม.ล.วัลย์วิภา กล่าวต่อไปว่า โครงการมอเตอร์เวย์ บางปะอิน - โคราช ผ่านความเห็นชอบ EIA ในเดือนพฤศจิกายน 2549 แต่ปัจจุบันเราใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ดังนั้น กรมทางหลวงจะต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรคสอง เพราะการมีส่วนร่วมของประชาชน ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียที่บัญญัติไว้มีตัวแปร ใหม่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยคือ การให้ความเห็นขององค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้อง โดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าวเน้นเรื่องสุขภาพ ดังนั้น การศึกษาเรื่อง SIA ก็คือการคุ้มครองสุขภาวะของผู้มีส่วนได้เสีย แต่โครงการนี้ไม่ได้มีการศึกษาเรื่อง SIA

หนุนใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ : แผงลอยลำตะคองนับพันรอวันเจ๊ง!

นางสาวรสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพฯ และประธานคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ในฐานะประธานในที่ประชุม ร่วมแสดงความคิดเห็นว่า 

การทุจริตคอร์รัปชันในบ้านเรามีมาก เหลือเกิน มีโครงการที่ไม่จำเป็นมากมาย เช่น ถนนควายเดิน และ โค้งทรราช นักการเมืองจะคิดโครงการจากความต้องการเม็ดเงินที่จะคอร์รัปชัน แล้วจึงค่อยคิดตั้งโครงการ การเอาชนะคอร์รัปชันต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น กรณีทุจริตยาในอดีต องค์ประกอบทุกอย่างพร้อม กล่าวคือ คนในประชาคมสาธารณสุขต้องการปราบคอร์รัปชัน ภาคประชาชนก็เข้มแข็ง เมื่อผนึกกำลังกันจึงสามารถจับนักการเมืองติดคุกได้ เช่นเดียวกับบทบาทของสมาชิกวุฒิสภาที่เปรียบเสมือนหัวหอก ซึ่งจะทะลุทะลวงได้ก็ต้องอาศัยกำลังจากด้ามหอกคือประชาชน เพราะฉะนั้นอย่าโยนความคาดหวังทั้งหมดไว้กับหัวหอก 

นางสาวรสนา กล่าวต่อไปว่า กรณีศาลปกครองสั่งยกเลิกเพิกถอนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ของ กฟผ. (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) เพราะศาลเห็นว่านโยบายดังกล่าวขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยไม่ได้พิจารณาประเด็นการบิดเบือนมูลค่าสินทรัพย์ให้มีต่ำกว่าความเป็น จริงของ กฟผ.ก่อนจะเข้าตลาด ดังที่กล่าวกันว่าคอร์รัปชันและอาชญากรรมจะทิ้งร่องรอยเสมอ ผู้ร้องต้องรู้จักหยิบยกประเด็นขึ้นฟ้อง คดี กฟผ.และ ปตท.ที่ภาคประชาชนชนะ ไม่ใช่เพราะประเด็นคอร์รัปชัน แต่กลับเป็นกระบวนการไม่มีส่วนร่วม อย่างไรก็ตาม ผู้ร้องควรยื่นทุกประเด็น เพราะถ้าศาลไม่รับ ศาลก็จะต้องตอบทุกประเด็นเช่นกัน เช่นเดียวกับคดี ปตท.ในเบื้องต้นมีเสียงวิจารณ์ว่าร้องไปก็แพ้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่า พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยหารู้ไม่ว่าเราไม่ได้มุ่งประเด็นนี้

นางสาวรสนา เปิดเผยด้วยว่า ศาลปกครองจะพิจารณาเฉพาะการกระทำทางปกครองที่ทำให้ประชาชนหรือผู้มีส่วนได้ เสียเดือดร้อน ผู้ร้องต้องเขียนให้เข้าช่องทางให้ถูก ดังนั้น กฎหมายก็คือเครื่องมือ ประชาชนต้องฝึกใช้ให้เป็น ถ้าใช้เป็นแล้วการตรวจสอบคอร์รัปชันก็จะเข้มข้น
ประชาชนประสานเสียงต้องหยุดโครงการ

นายประสาน ยุวานนท์ แกนนำชาวปากช่อง แสดงความคิดเห็นว่า ถ้ายับยั้งโครงการมอเตอร์เวย์ บางปะอิน - โคราช ได้ จะช่วยประหยัดเงินให้ประเทศชาติและหยุดย่ำยีคนปากช่อง เพราะโครงการนี้จะส่งผลกระทบต่อแผงลอยนับ 1,000 แผงที่บริเวณลำตะคอง ผู้ค้าจะเดือดร้อน เพราะรถวิ่งอยู่ข้างบน ใครจะลงมาซื้อของ ขณะที่ผู้รับเหมาได้เงินหลายหมื่นล้านบาท 

นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ เครือข่ายธรรมาภิบาล แสดงความเห็นว่า ประเทศไทยอ่อนแอมากเพราะปัญหาคอร์รัปชัน โดยส่วนตัวไม่อยากเป็นด้ามหอก เพราะไม่อยากเป็น “ไอ้หอกหัก” แต่จะขอเป็น “ก้างขวางคอ” พวกคอร์รัปชัน โดยข้อเท็จจริงเห็นได้ชัดว่าโครงการมอเตอร์เวย์ บางปะอิน - โคราช ไม่มีความจำเป็น เพราะถนนมิตรภาพสามารถรองรับได้อีกมาก กรมทางหลวงอย่าใช้ปริมาณรถยนต์ในช่วงเทศกาลมาอ้าง ดังนั้น ขอสนับสนุนให้ประชาชนฟ้องศาลปกครอง

หวั่นวิถีชุมชนย่อยยับ : มลพิษลงสู่แหล่งน้ำดิบลำตะคอง 

นายวรัญชัย โชคชนะ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ตั้งคำถามว่า การคัดค้านโครงการนี้จะเหมือนโครงการเช่ารถเมล์ NGV ที่รัฐบาลมุบมิบอนุมัติจนได้หรือไม่ อีกทั้งขบวนการต่อสู้คัดค้านจะดำเนินต่อไปอย่างไร และงบประมาณ 60,000 ล้านบาท สามารถนำมาสร้างระบบรถไฟหัวกระสุนได้หรือไม่

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ตอบข้อซักถามในเรื่องรถเมล์ NGV ว่า มติคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการเช่ารถเมล์ NGV 4,000 คัน แบบข้างๆ คูๆ เสมือนหนึ่งว่าอนุมัติไปแล้ว แต่แท้จริงแล้วเป็นการอนุมัติหลักการที่ ขสมก.ไม่สามารถปฏิบัติได้ เว้นแต่จะลดจำนวนเหลือ 500 คัน โดยวุฒิสภาและภาคประชาชนยังคงเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิด หากเกิดความเสียหายขึ้น คณะรัฐมนตรีก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ 

แกนนำชาวปากช่อง (ไม่ทราบชื่อ) แสดงความเห็นว่า ผลเสียของโครงการมอเตอร์เวย์ บางปะอิน - โคราช คือ ตัดขาดวิถีชีวิตและการค้าขายของชุมชน เพียงเพื่อส่งเสริมให้รถยนต์วิ่งเร็วขึ้นในระยะทาง 199 กิโลเมตร วิศวกรกรมทางหลวงก็ยอมรับว่าโครงการนี้ไม่มีประโยชน์ แต่จำเป็นต้องทำตามหน้าที่ 

นายเสงี่ยม เอกโชติ นักธุรกิจด้านการท่องเที่ยว แสดงความเห็นว่าประเทศไทยขยายถนนมากเกินไป อย่างไรก็ตามโดยหลักการก่อสร้างทางพิเศษไม่ควรสร้างให้คดเคี้ยว ประเด็นก็คือมอเตอร์เวย์ฯ ประหยัดระยะทางกว่าเดิมเพียง 5 กิโลเมตรเท่านั้น การสร้างให้คดเคี้ยวเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ใครหรือไม่

แกนนำชาวปากช่อง (ไม่ทราบชื่อ) แสดงความเห็นว่าโครงการนี้แบ่งแยกพื้นที่ 2 ฝั่ง วิถีชีวิตของคนและสัตว์จะเปลี่ยนไปตลอดกาล นอกจากนี้มลพิษจากท่อไอเสียบนมอเตอร์เวย์ จะลงสู่ลำตะคองซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบของเมืองโคราช ถนนมิตรภาพก็ดีอยู่แล้ว ปัญหาก็คือกรมทางหลวงไม่ยอมซ่อมช่องทางที่ชำรุด แต่กลับจะซ่อมในช่วงเทศกาลอย่างไร้เหตุผล ทำให้เกิดปัญหาจราจรตามมา 

นางชินพร (ไม่ทราบนามสกุล) ผู้ใหญ่บ้านหนองน้ำแดง อ.ปากช่อง เปิดเผยว่าชาวปากช่องรายหนึ่งแจ้งเตือนให้ระวังเรื่องการเวนคืนที่ดินของกรม ทางหลวง เนื่องจากเคยโดนหลอกมาแล้วจากการถูกเวนคืนที่ดินเพื่อก่อสร้างทางยกระดับแยก บายพาสปากช่อง จากที่เคยตกลงว่าจะจ่ายให้ 200,000 บาทต่อไร่ แต่สุดท้ายได้เพียงไร่ละ 80,000 บาท

พ.ต.อ.เดชา ผลลาภกิจ ข้าราชการบำนาญ แสดงความเห็นว่า น้องชายของตนทำไร่ที่บริเวณเชิงเขาปากช่องมากว่า 30 ปี วันหนึ่งกรมทางหลวงก็มาวางแนวก่อสร้างห่างจากไร่ของเขาไม่ถึง 2 กิโลเมตร โดยกรมทางหลวงไม่ได้เดินสำรวจแม้แต่น้อย นอกจากนี้ในการจัดประชุมประชาพิจารณ์ของกรมทางหลวง ก็มีการออกแบบสอบถามเชิงชี้นำ ทุกข้อล้วนแฝงการสนับสนุนโครงการทั้งสิ้น 

นายประพันธ์ศักดิ์ กมลเพ็ชร ประธานสภาราษฎร แสดงความเห็นว่า ขอเสนอให้ทั่วโลกใช้ระบบรถไฟในมาตรฐานเดียวกัน ทั้งระบบรางคู่ ขนาดหัวรถจักรและตู้บรรทุก เพื่อเชื่อมระบบ Railway ของโลก 

นายประเสริฐ เลิศยะโส องค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ (จ.บุรีรัมย์) แสดงความเห็นว่า ต้องหยุดโครงการมอเตอร์เวย์ บางปะอิน - โคราช ที่ต้นเหตุคือคณะรัฐมนตรี กรมทางหลวงเป็นปลายเหตุ ประชาชนชาวอยุธยา สระบุรี ปากช่อง ต้องผนึกกำลังเรียกร้องให้ ส.ส.และ ส.ว.ช่วยระงับโครงการ พร้อมกับการยื่นร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินและอื่นๆ นอกจากนี้ควรจัดกองกำลังเฝ้าระวังพื้นที่ก่อสร้าง ในส่วนของคณะกรรมาธิการฯ วุฒิสภา ก็ควรจัดเสวนาเปิดโปงเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/policy/20100115/95619/%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%94!%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E2%80%93%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A-%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%99%281%29.html
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809/wordcamp-bangkok-2009-pool-party