ชมพุทธประวัติ ฉบับการ์ตูน

Art of Asia: Buddhism - The Art of Enlightenment

ใครๆก็แก้กฎหมายได้(คุณก็ด้วย)

การแนะแนว"อนาคตประเทศไทยกับ 10 อาชีพสุดฮิพ"จัดโดยมูลนิธิไทยคม 10-11 ต.ค.52

Bookmark and Share

วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

ท่ามกลางความต่าง-แยก คนไทยเข้าใจ "สันติวิธี" ในบริบทไหน



วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 18:08:09 น.  มติชนออนไลน์

ท่ามกลางความต่าง-แยก คนไทยเข้าใจ "สันติวิธี" ในบริบทไหน

โดย ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

"การไม่ทำอะไรเลย ไม่ทำอะไรปล่อยให้เป็นไป ในสายตานักสันติวิธี ถือว่า ไม่ใช่สันติวิธีเพราะเป็นการเอื้อให้ความรุนแรงดำเนินต่อไป"


ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ครั้นที่เยอรมนีบุกเดนมาร์ก วันแรกของการยึดครอง 9 เมษายน ค.ศ.1940 มีชาวเดนมาร์กคนหนึ่งชื่อ "ฮาเน่เซท" ทนไม่ได้ที่พบเห็นผู้คนในเมืองเล็กๆ ของเขาเป็นมิตรเหลือเกินกับคนเยอรมัน วันนั้นเขาพกพาความรู้สึกโกรธกลับเข้าบ้าน แล้วนั่งลงพิมพ์ข้อความ ที่เขาเรียกเองว่า Commandment  "บัญชาให้เพื่อนชาวเดนส์ได้ทำ" จำนวน 25 แผ่น


ข้อแรก อย่าไปทำงานในเยอรมันกับนอร์เวย์
ข้อสอง ถ้าเยอรมันให้ทำงาน ก็ทำเลวๆ ทำให้แย่ลง
ข้อสาม ทำช้าๆ
ข้อสี่ ทำลายเครื่องมือบางอย่าง
ข้อห้า ทำลายทุกอย่างที่เป็นประโยชน์กับเยอรมัน
ข้อหก ขับรถช้าๆ ทำการขนส่งให้ช้าลง
ข้อเจ็ด อย่าไปดูหนังเยอรมัน อิตาเลี่ยน อย่าอ่านหนังสือพิมพ์ของคนเหล่านี้
ข้อแปด อย่าไปซื้อของร้านนาซี
ข้อเก้า ให้ปฏิบัติกับคนทรยศอย่างที่ควรจะเป็น
ข้อสิบ เยอรมันไล่ใครเราไปช่วยคนนั้น


เมื่อ พิมพ์เสร็จแล้ว นายคนนี้ก็นำคำบัญชาหย่อนใส่ไปในตู้จดหมายของบรรดาคนที่มีชื่อเสียงในเมือง ของเขา พอคนได้รับรู้ข้อความก็มีการลอกและพิมพ์ส่งจากมือต่อมือ จากปากต่อปาก กลายเป็นพันๆ แผ่น ที่น่าสนใจเด็กหนุ่มคนนี้ ตอนทำนั้นอายุแค่  17 ปี


ตัวอย่างข้างต้น ตอกย้ำ ปราฎการณ์ให้เราเริ่มเห็น "กระบวนการสันติวิธี" ที่ไม่รู้จักหัวหน้า จากยุคหนึ่งเราได้ยินชื่อนางอองซานซูจี เนลสัน แมนเดลา มหาตมะ คานธี มาร์ตินลูเธอร์คิง หรือแม้กระทั่งสมัชชาคนจนที่ไม่มีวนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ ไม่ได้หมายความว่า หายไป แต่แปลว่า สันติวิธีเริ่มเข้าไปอยู่ในคน


ความขัดแย้งทุกชนิดมีอายุ


สำหรับ ประเทศไทย มีคนตั้งคำถาม ทำไมสันติวิธีในสังคมไทยจึงเป็นเรื่องยาก ทั้งๆ ที่หลายฝ่ายพยายามจะทำ ในมุมมองของนักสันติวิธี  ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวอย่างเชื่อมั่นในเวทีปฏิรูปประเทศไทย เพื่อสุขภาวะของคนไทย ครั้งที่ 29 ณ ศูนย์ประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ หลักสี่ กทม. ว่า ทำได้ เพราะสันติวิธีเป็น  Vision critical ไม่ใช่ Vision impossible 


เมื่อ มองปรากฎการณ์ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน อีกทั้งยังไม่เหมือนความขัดแย้งเดิมๆ ผ่านแว่นสายตานักสันติวิธี สิ่งที่อาจารย์ชัยวัฒน์เห็นคือขบวนการประชาชนขนาดใหญ่ที่ผลักกัน มีจำนวนมากทั้ง 2 ฝ่าย มีทุนหนุนหลังทั้ง 2 ฝ่าย มีกลุ่มชนชั้นนำ (elite) หนุนหลังทั้ง 2 ฝ่าย และมีสายสัมพันธ์กับพรรคการเมืองในระบบ มีสื่อมวลชนของตัวทั้ง 2 ฝ่าย หากสังคมไทยยังเป็นแบบนี้จะอยู่บนฐานของปัญหาที่ยุ่งยากมาก
 

"ความขัดแย้งทุกชนิดมีอายุ คำถามคือความขัดแย้งส่งผลอย่างไร ตอบตรงที่สุดเวลามันอายุยืน จะกร่อนสถาบันทุกชนิดที่คอยช่วยเหลือประคับประคองสังคมอยู่ ลากสถาบันไปด้วย ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการความขัดแย้ง ทำให้ค่อยๆ อ่อนกำลังลง มีผลการศึกษาเรื่องนี้ในอูกานดา นอร์ธเทิร์น ไอร์แลนด์ ฯลฯ


ขณะนี้สิ่งที่เราเห็นความต่างแยกอยู่ในเนื้อสังคมไทยที่สภาพต่างๆ อ่อนกำลังลงกว่าที่เคยเป็นมา การจัดการและเผชิญกับความขัดแย้งจึงยากขึ้น ขณะที่ขบวนการสีเหลืองและสีแดงพยายามใช้กระบวนการสันติวิธีบรรลุวัตถุประสงค์ของตัว ในเวลาที่ต่างกัน"


7 วิธีที่มนุษย์ใช้โต้ตอบความขัดแย้ง 


ในตำรามนุษย์พูดถึงการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ การต่อสู้ ประท้วง คัดค้าน การไม่ให้ความร่วมมือ ศ.ดร.ชัยวัฒน์ บอกว่า  วิธีที่มนุษย์ใช้เพื่อโต้ตอบกับความขัดแย้ง มี 7 วิธี อันแรกคือคุยหรือเจรจา, การใช้กฎหมาย, นำเรื่องขึ้นฟ้องต่อศาล, การใช้ความรุนแรงต่อคน, การใช้ความรุนแรงต่อคนและสิ่งของ, การใช้ความรุนแรงต่อสิ่งของ และสันติวิธี "แต่ที่คนส่วนใหญ่เลือกใช้ คือการไม่ทำอะไรเลย ไม่ทำอะไรปล่อยให้เป็นไป ซึ่งการไม่ทำอะไร ในสายตานักสันติวิธี ถือว่า ไม่ใช่สันติวิธีเพราะเป็นการเอื้อให้ความรุนแรงดำเนินต่อไป


ถาม ว่าเกี่ยวอะไรกับเรื่องทั้งหมดนี้ คำถามคือกรณีการยึดสนามบินสุวรรณภูมิเป็นหรือไม่เป็นสันติวิธี บุกเข้าไปในที่ประชุมอาเซียนที่พัทยา เป็นหรือไม่เป็นสันติวิธี
 

อาจารย์รัฐศาสตร์ มธ. ให้โจทย์บางอย่างที่น่าสนใจ กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในบ้านเมืองว่า หากเราอยากเข้าใจสันติวิธี เราจะเข้าใจสันติวิธีแบบไหน ก็ในเมื่อสันติวิธีก็มีหลายอย่าง


วิธี ของสันติวิธีแบ่งออกเป็น 3 แบบ

1.การชักจูงชักชวน ประท้วงเชิงสัญลักษณ์

2.การไม่ให้ความร่วมมือ และ

3. การเข้าไปแทรกแซงโดยตรง แต่ในบริบทของสันติวิธีวันนี้เปลี่ยนแปลงไป อาจารย์ชัยวัฒน์ มองว่า 

มีคนใช้สันติวิธี

1.ต่อต้านเผด็จการในลักษณะต่างๆ

2. เผชิญกับอำนาจทุน เช่นขบวนการชาวบ้านต่อสู้กับโรงงานขนาดใหญ่ หรือกรณีบ้านครัวต่อสู้กับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เป็นต้น

3.เผชิญกับรัฐบาลประชาธิปไตย (ที่ไม่น่ารัก) หรือประชาธิปไตยอำนาจนิยม คือการยอมรับประชาธิปไตยในแง่ที่มา

ดังนั้น เราจะสับสนไม่ได้ระหว่างการใช้สันติวิธีเพื่อต่อต้านเผด็จการ กับการใช้สันติวิธีเผชิญกับประชาธิปไตยอำนาจนิยม ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน


"หากเราเห็นว่ารัฐบาลนั้นไม่น่ารักอย่างเดียวแต่ลืมว่าเป็นประชาธิปไตย เราก็เข้าใจผิด เหมือนวันนี้ความขัดแย้งในสังคมไทยยังมีอยู่ คนจำนวนมากไม่ยอมรับ ความชอบธรรมของรัฐบาลปัจจุบัน บนฐานนี้ พูดอย่างไรก็อธิบายลำบาก นี่คือบริบทที่เปลี่ยนไปย่อมส่งผลให้สันติวิธีเปลี่ยนไปด้วย"


ฐานของสันติวิธี ไม่ใช่แค่อยู่ในหัว


ศ.ดร.ชัยวัฒน์  อธิบายความหมายญาณวิทยาของสันติวิธี คือ ทุกอย่างที่เราคิดเราทำ อยู่บนฐานของอะไรบางอย่างที่เราเชื่อว่า เป็นความรู้ "ญาณวิทยาของโลกนี้มีหลายสำนัก ย้อนไปคิดทฤษฎีฝรั่ง คือ แนวความคิดของ 
René Descartes  เพราะฉันคิดฉันจึงเป็นอยู่ ภาษาละติน cogito ergo sum สิ่งที่ทำคือการแยกเราออกมาจากอื่น ให้ความสำคัญกับความคิดเป็นหลัก ซึ่งแนวคิดนี้อาจใช้ได้กับสังคมทั่วไปในทางสังคมศาสตร์


แต่ในระยะหลังมีความคิดของ Schmitts นักทฤษฎีคนสำคัญเยอรมันประมาณปี ค.ศ.1930 พูดถึง ความเป็นการเมือง ว่า ต้องแยกมิตรแยกศัตรู Distinguo ergo sum สำหรับมนุษย์ศัตรูสำคัญกว่ามิตร เพราะการมีศัตรูบอกว่าเราเป็นใครมากกว่าการมีมิตร"


สำหรับ สันติวิธี ในมุมมองนักสันติวิธีผู้นี้ ไม่ได้อาศัยทั้ง 2 อย่างที่กล่าวมา แต่ใช้ Spiro ergo sum คือหลักที่บอกว่า ฉันหายใจฉันจึงเป็นอยู่ อยู่บนฐานของศาสนธรรมที่เราเป็นผลของมัน เราเชื่อมกับสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา


"ผม เชื่อว่านี่เป็นฐานของสันติวิธี ไม่ใช่แค่อยู่ในหัว หรือบอกพวกเราไม่ใช่พวกเขา นี่สีเหลือง เสื้อแดง นี่ไทยเขมร นาซี กับยิว แต่หากฐานของสันติวิธีเป็นฐานในทางญาณวิทยาแบบนี้ หมายความว่า ในการนิยามตัวเรา ในคนอื่นมีตัวเราเสมอ เราไม่ได้แยกกับคนอื่นเหมือนที่เราคิด หากเราตระหนักตรงนี้จะเห็นโลกอีกอย่าง ฉะนั้นสันติวิธีจะคิดเห็นคนอื่นเป็นศัตรูอย่างที่ฉันคิดว่าไม่ได้ เพราะจะเป็นฐานของสงคราม สันติวิธีสู้ก็จริง แต่ไม่สู้ในลักษณะสงคราม" 


นี่คือสิ่งที่อาจารย์ชัยวัฒน์นำเสนอให้เห็น พร้อมยกประสบการณ์ในต่างประเทศที่มีการใช้สันติวิธีประกอบ เช่น ไอร์แลนด์เหนือ ตั้งแต่ค.ศ. 1967-1972  มีความน่าสนใจ ค.ศ. 1969 แม้จะมีความขัดแย้งทางการเมืองแล้วก็ตาม แต่ไม่มีใครเสียชีวิต เมื่อเวลาผ่านไป 3 ปี มีคนเสียชีวิตจากการต่อสู้ 497 คน จะเห็นว่า เมื่อถึงจุดหนึ่ง  กลุ่ม Irish Republican Army (IRA) เริ่มเห็นความรุนแรงมีความจำเป็น หรือพูดง่ายๆ ว่าเงื่อนไขต่างๆ ในสังคมเสียงสุดโต่งได้กลายเป็นเสียหลักไปแล้ว


สันติวิธีคนใช้ต้องทนรับความเจ็บเสียเอง


ถามว่ามีหลักหรือไม่ในการแยกสันติวิธี อาจารย์รัฐศาสตร์ มธ.ให้ดูว่า 

1.ถ้าเป็นความเกลียดชัง สันติวิธีจะหายไปหมด เพราะความเกลียดชัง คือยาพิษ ใส่เข้ามาในสังคมแล้วไม่หมด ถือเป็นอคติร้ายแรง อันตรายยิ่งกว่าโกรธ หลง หลายประเทศจึงมีกฎหมายห้าม ที่เรียกว่า Hate Speech คำพูดที่สร้างความเกลียดชัง เพราะเวลาเราได้ยินแบบนี้เราจะเกลียดคน ทั้งๆ ที่คนเป็นผลของเหตุปัจจัยอื่นๆ แทนที่จะแก้ไขปัญหาใหญ่ 


2. เป้าหมายกับความเป็นธรรม เวลาพูดถึงสันติวิธีต้องเห็น วิธีที่เราใช้นำไปสู่เป้าบางอย่าง แปลว่า วิธีการกับเป้าหมายเชื่อมกัน เราไม่สามารถไปสู่เป้าหมายที่ดีโดยวิธีการที่มีปัญหา สมมติเราใช้การก่อการร้าย ไล่ขว้างระเบิดไปเรื่อยๆ เราจะสร้างสังคมที่เป็นธรรม ทำไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นหน่อเนื้อเชื้อของความร้ายแรงที่จะตามมา อีกตัวอย่าง ที่ดีที่สุด คือ  การปฏิวัติฝรั่งเศส ปี ค.ศ.1789 เป้าดีแต่ผลกินตัวมันเอง การปฏิวัติทำลายตัวมันเอง รวมทั้งการปฏิวัติสตาลิน ก็เช่นกันต่อให้เป้าดีแต่ทำคนตายไป 30 ล้านคน จะดีได้อย่างไร" อาจารย์ชัยวัฒน์ ตั้งคำถาม และยืนยันว่า วิธีการเลยสำคัญสำหรับสันติวิธีไม่ใช่เป้าหมาย 

และตัวแบ่งสันติวิธี ตัวสุดท้าย คือ 

3. คนใช้ต้องทนรับความเจ็บเสียเอง ในตัวคนอื่นเราเห็นเราด้วย ซึ่งเป็นยากมาก ขณะที่เหตุผลที่เราไม่หยิบอาวุธไปทำอะไรคนมีได้หลายอย่าง แต่บ่อยครั้งไม่ใช่เรื่องศาสนาเพียงอย่างเดียว


สีของการเมืองไทย ไม่สะอาดอย่างที่เราคิด 


"ผมกำลังจะบอกว่าเราอยู่ในเงื่อนไขสังคมที่ไม่เคยอยู่มาก่อน ต้องการความคิดความอ่านอีกมาก" ความขัดแย้งในสังคมไทย ถึงอย่างไรอาจารย์ชัยวัฒน์ ก็ยังเห็นว่า แก้ยาก ด้วยเหตุผลเราขัดกันในเรื่องเป้าหมาย เวลานี้อะไรคือเป้าของสังคมไทย โดยเฉพาะระยะสั้นประชาธิปไตยก็ไม่ตรงกัน ซึ่งกาลครั้งหนึ่งเคยตรงกัน, วิธีเริ่มขัดกัน ขณะนี้เรามีคำถามเรื่องการเลือกตั้ง ทั้งๆที่การเลือกตั้งเป็นนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่มากของการแก้ปัญหาความขัดแย้ง หลักทางการเมือง ปัญหาใครจะครองอำนาจ สุดท้ายสังคมไทยมาถึงความขัดแย้งในจินตนาการความเป็นไทย เราจะเป็นไทยแบบไหน นิยามความเป็นไทยไม่เหมือนกัน จึงมีข้อเสนอประหลาดๆเกิดขึ้น


"เรื่อง สีของสันติวิธี และคำถามอะไรคือสันติวิธี เช่น การยึดสนามบิน ปิดถนน ขว้างอุจจาระ ซึ่งหากตอบบนฐานของเสื้อที่เราสวมไม่ช่วยแก้ปัญหา ต้องตอบบนฐานของสิ่งที่มันเป็น" อาจารย์ชัยวัฒน์ ย้ำชัด และว่า ในเงาของความรุนแรงที่เกิดขึ้น ถ้าไม่พูดถึงสันติวิธีก็จะเป็นอันตราย แต่หากพูดโดยไม่เผชิญกับมันจริงๆ โดยไม่เห็นว่าสีของมัน ไม่ได้ขาวอย่างที่เราคิด ขณะที่มีการศึกษาพบ การใช้สันติวิธีทั่วโลกไม่ได้เชื่อในหลักการใช้ไม่ใช่เพราะเชื่อว่าถูก แต่ใช้เพราะมันเวิร์ก


สี ของสันติวิธี ในสายตานักสันติวิธีผู้นี้ จึงไม่ใช่สีขาว แต่เป็นสีเทา ในการเมืองของสีในประเทศไทย ตัววิธีการเองก็สีเทา ไม่ใช่สะอาดอย่างที่เราคิด ดังนั้นสีขาวแท้จริงอาจไม่มี สีดำแท้จริงอาจไม่มี
สุดท้าย ความหมายของสันติวิธีนั้นก็ยังคลุมเครือและ "ยุ่ง" กว่าที่เราคิด!

                              http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1268737717&grpid=&catid=02
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809
/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
C:\Documents and Settings\user\My Documents\ไฟล์ที่ได้รับของฉัน\issarachon1101.wma
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiansoon

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

"เฮอริเคน" หรือ ลิ้นมังกรใบบิดต้นเตี้ย

คน ส่วนใหญ่จะคุ้นเคยและพบเห็นเฉพาะต้นลิ้นมังกรชนิดที่มีใบชูตั้งขึ้น สูงประมาณเกือบ 1 เมตร มีหลายพันธุ์และหลายสี ใบเหยียดตรง นิยมปลูกเป็นแถวยาวเลาะแนวรั้วบ้าน โรงเรียน และสำนักงานมาช้านานแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ลิ้นมังกรที่กล่าวถึงนี้จะมีถิ่นกำเนิดจากประเทศในแถบแอฟริกา ใต้

ส่วน "เฮอริเคน" จัดเป็นต้นลิ้นมังกรตัวใหม่ ถูกนำเข้ามาจากต่างประเทศเช่นกัน และขยายพันธุ์ออกวางขายในประเทศไทยนานกว่า 3-4 ปีแล้ว ได้รับความนิยมปลูกเฉพาะกลุ่มผู้ชื่นชอบไม้ใบแปลกที่มีลีลางดงามแต่ไม่แพร่ หลายนัก ซึ่ง "เฮอริเคน" จะมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากต้นลิ้นมังกรทั่วไปคือ ต้นจะเตี้ยแจ้ สูงเต็มที่ไม่ถึง 1 คืบมือผู้ใหญ่ และที่สำคัญถือเป็นจุดขายของ "เฮอริเคน" คือ เวลาแตกใบจากต้น ใบจะเรียงเบียดกันเป็นชั้นๆ หนาแน่น และ ใบจะบิดเป็นเกลียวตามธรรมชาติทุกใบ ทำให้ดูคล้ายลมหมุน หรือพายุหมุน แปลกตาน่าชมมาก เจ้าของผู้นำ เข้ามาขยายพันธุ์ขายจึงตั้งชื่อตามลักษณะของใบว่า "เฮอริเคน" ดังกล่าว

เฮอริ เคน หรือลิ้นมังกรใบบิด เป็นไม้ในตระกูลลิ้นมังกรสายพันธุ์ หนึ่ง ซึ่งทั่วโลกมีไม่น้อยกว่า 50 ชนิดขึ้นไป มีลักษณะเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ต้นสูงเต็มที่ไม่ถึงหนึ่งคืบมือผู้ใหญ่ มีไหลหรือเหง้าใต้ดิน ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับถี่และหนาแน่นตลอดลำต้น ใบเป็นรูปรีกว้างปลายใบแหลม โคนใบเป็นกาบหุ้มลำต้น ใบกว้างประมาณ 2.5-3 นิ้วฟุต ยาวประมาณ 5-6 นิ้วฟุต

เนื้อใบหนาและแข็ง ผิวใบและขอบใบเรียบเป็นมัน ขอบใบทั้งสองข้างมีขลิบสีเหลืองสดตลอดปลายใบจรดโคนใบ พื้นกลางใบเป็นสีเขียวเข้ม มีลายด่างสีนวลเป็นตอนขวางตลอดใบ ใบเมื่อเริ่มโตจะบิดเป็นเกลียวตามธรรมชาติทุกใบ ทำให้เวลามีใบดกและหนาแน่นดูคล้ายรูปพายุหมุน หรือลมหมุนสวยงามมาก ซึ่งลิ้นมังกร มีมากกว่า 50 สายพันธุ์ตามที่กล่าวข้างต้น แต่ละชนิดจะมีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป คนที่ชอบปลูกไม้ประดับประเภทใบแปลกกำลังนิยมมาก

ปัจจุบัน "เฮอริเคน" หรือ ลิ้นมังกรใบบิดต้นเตี้ย มีขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 4 แผง "สวนพฤกษาอภิญญา" กับ แผง "คุณเมฆ" บริเวณโครงการ 5 ติดทางเข้าออกประตู 3 ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป ทนแล้งดี ไม่ทนน้ำท่วมขัง ขยายพันธุ์ด้วยไหล เหง้า และปักชำใบ เหมาะจะปลูกประดับลงกระถางตั้งโชว์และปลูกสะสมเป็นไม้แปลกดีมากครับ.

"นายเกษตร"

http://www.thairath.co.th/column/edu/paperagriculturist/71547


ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809
/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
C:\Documents and Settings\user\My Documents\ไฟล์ที่ได้รับของฉัน\issarachon1101.wma
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiansoon

วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553

สภาล่ม ส.ส.ลงชื่อเข้าประชุมแค่ 37 เสียง

วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 10:38 น.  ข่าวสดออนไลน์


สภาล่ม ส.ส.ลงชื่อเข้าประชุมแค่ 37 เสียง

     เมื่อวันที่ 17 มี.ค. ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วาระพิจารณาร่างพ.ร.บ.จำนวน 109 ฉบับซึ่งบรรจุอยู่ในระเบียบวาระการประชุมโดยเฉพาะร่างพ.ร.บ.สภาเกษตรกรแห่ง ชาติ พ.ศ. ....ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว โดยสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาค้างอยู่จากสัปดาห์ที่แล้ว ต้องเลื่อนออกไป หลังจากที่ส.ส.มาประชุมบางตา ทำให้องค์ประชุมไม่ครบ โดยเมื่อถึงเวลาการประชุมเวลา 09.00 น. ปรากฏว่า มีส.ส.มาลงชื่อเข้าประชุม 14 คน จากสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด 475 คน ไม่ครบองค์ประชุมกึ่งหนึ่งที่ 238 คน นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร จึงรอสมาชิกจนถึงเวลา 09.30 น. และขึ้นนั่งบัลลังก์ประธานอีกครั้ง ปรากฏว่า มีส.ส.มาลงชื่อเข้าประชุม 37 คน ทำให้นายชัย แจ้งว่า วันนี้นัดประชุมตามปกติแต่มีส.ส.มาไม่ครบองค์ประชุม โดยเกินเวลาประชุมไปแล้ว 30 นาที ก็ขอเลื่อนวาระพิจารณากฎหมายไปในสัปดาห์หน้า
     จากนั้นนายชัย เตรียมจะสั่งปิดประชุม แต่ส.ส.พรรคเพื่อไทยหลายคน นำโดย นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ นายวิชาญ มีนชัยนันทน์ ส.ส.กทม. นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน เปิดไมโครโฟนทักท้วง ว่า ทำไมไม่หารือกับส.ส.ที่มาในวันนี้ด้วย ทำให้นายชัย ชี้แจงว่า วันที่ 18 มี.ค. ยังมีการประชุมสภา โดยเป็นวาระพิจารณากระทู้ ซึ่งหากสมาชิกมาครบ 1 ใน 5 หรือ 95 เสียง ตามข้อบังคับการประชุมสภา ก็สามารถเปิดประชุมได้ ฉะนั้นถ้ามาครบจำนวนดังกล่าวก็ให้หารือได้ ทั้งนี้ตนจะนัดประชุมสภาอย่างนี้ไปตามปกติ จนกว่าจะประชุมได้ 
     ภายหลังนายชัย กดออดปิดประชุมในเวลา 09.32 น.และเดินออกจากห้องประชุมทันที ขณะที่นายสุนัย ยังคงไม่พอใจและตะโกนทักท้วงว่า “ปกติต้องรอ ทำไมวันนี้ไม่รอ ตกลงจะไม่เอาสภาเป็นที่แก้ปัญหาแล้วใช่ไหม ประธานจะเป็นประธานหรือประทวย เพราะสถานการณ์ไม่รุนแรงขนาดนั้น” และจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความไม่พอใจ

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRJMk9EYzVOekUzTmc9PQ==

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

"จุดขาย" สำคัญของอังกฤษในวันนี้ก็คือ "พรีเมียร์ลีก" ฟุตบอลลีกของอังกฤษ ที่ถือกันว่าเป็นลีกที่ดีที่สุดในโลกขณะนี้


วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 7048 ข่าวสดรายวัน


ทัวร์อังกฤษ พรีเมียร์ลีก&โรงกลั่น


สมบัติ สวางควัฒน์/รายงาน




อังกฤษเป็นประเทศเก่าแก่ มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน เคยยิ่งใหญ่ด้วยเหตุที่ครอบครองอาณานิคมไปทั่วโลก ถึงขนาดที่เรียกได้ว่าเคยครองพื้นที่โลกถึงหนึ่งในสี่

แต่อดีตเหล่านั้นผ่านเลยไปแล้ว

ปัจจุบัน อังกฤษ ไม่ใช่เจ้าอาณานิคมอันเกรียงไกรอีกต่อไป เหลือพื้นที่เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีขนาดเล็กกว่าประเทศไทยเสียอีก

แต่ถึงอย่างนั้น "อังกฤษ" ก็ยังมีเสน่ห์ในแบบฉบับของตัวเอง นอกจากอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนอยู่เกือบตลอดปีแล้ว เกาะขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แห่งนี้มีประวัติศาสตร์ เรื่องเล่าอันเก่าแก่มากมาย เป็นแหล่งรวมศิลปะ วัฒนธรรม ความบันเทิง หลากหลายรูปแบบของยุโรป

และที่เป็น "จุดขาย" สำคัญของอังกฤษในวันนี้ก็คือ "พรีเมียร์ลีก" ฟุตบอลลีกของอังกฤษ ที่ถือกันว่าเป็นลีกที่ดีที่สุดในโลกขณะนี้

ต้น เดือนก.พ.ที่ผ่านมา บริษัท เพอร์น็อต ริคาร์ด ประเทศไทย จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์ 100 ไพเพอร์ส ดีลักซ์ สกอตช์ วิสกี้ ผู้ถือลิขสิทธิ์ "100 แฟนตาซี ฟุตบอล" เกมฟุตบอลออนไลน์ต้นตำรับจากประเทศอังกฤษ ได้นำผู้ชนะเลิศที่มีคะแนนสะสมในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก ประจำฤดูกาล 2009-2010 คือ ศิรินภา ชัยวนนท์ พร้อมด้วยเพื่อนผู้โชคดีคือ สุธิพงษ์ โปธา เดินทางไปสัมผัสเกมพรีเมียร์ลีกถึงขอบสนาม พร้อมด้วยคณะสื่อมวลชนกลุ่มเล็กๆ โดยมี "ฉัฐกานต์ วรรณกูล" ผู้จัดการอาวุโสของฮันเดรด ไพเพอร์ส สกอตช์ วิสกี้ เป็นหัวหน้าคณะ

การ เดินทางไปครั้งนี้ นอกเหนือจากให้คณะได้สัมผัสเกมพรีเมียร์กันอย่างจะจะตาแล้ว ยังต้องการให้ทุกคนได้สัมผัสความเป็น "อังกฤษ" ในมุมมองใหม่ ได้อย่างรอบด้านและลึกซึ้งกว่าเดิมอีกด้วย

คณะทั้งหมดเดินทางถึงสนาม บินฮีธโทรว์ หนึ่งในสนามบินระดับโลกที่มีเครื่องบินขึ้นลงเกือบตลอด 24 ชั่วโมง ในช่วงเช้าของวันที่ 8 ก.พ. โดยมีสายฝนพรำลงมาผสานไปกับลมหนาวยะเยือก เป้าหมายในวันแรกไม่ได้อยู่ที่การเดินทางเข้าสู่ลอนดอน นครหลวงอันลือชื่อ แต่เป็นการนั่งเครื่องบินต่อไปยังทางตอนเหนือของเกาะอังกฤษ เพื่อชื่นชมทัศนีย ภาพอันงดงามของสกอต แลนด์ ใช้เวลาเดินทางราว 50 นาที ก็เดินทางถึงสนามบินอเบอร์ดีน ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของสกอตแลนด์



ถึงอเบอร์ดีนแล้ว คณะทั้งหมดต้องฝ่าลมหนาว พร้อมกับหิมะที่โปรยปรายลงมา พร้อมกับอุณหภูมิ ที่ลดลงต่ำเหลือแค่ 3 องศาเซลเซียส เพื่อนั่งรถโค้ชต่อไปยังเมืองคีธ ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงกลั่น "สกอตช์ วิสกี้" อันลือชื่อ โดยตลอดเส้นทางมองเห็นทุ่งหญ้าเขียวขจีไกลสุดลูกหูลูกตา มีแกะ วัว นับพันตัวเรียงรายอยู่เต็มท้องทุ่ง ที่มองเห็นไกลลิบออกไปคือเนินเขาสูงที่ปกคลุมด้วยสีขาวของหิมะ โดยมีปราสาท บ้านทรงโบราณ ผุดขึ้นมาอยู่ตามเนินเขา

ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง คณะทั้งหมดเดินทางถึงปราสาท "ลิน เฮาส์" บ้านรับ รองที่ให้ความรู้สึกขรึมขลัง เป็นปราสาทเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 150 ปี ภายใน ตกแต่งอย่างสวยงาม หรูหรา ในขณะที่ทั่วบริเวณรายล้อมไปด้วยเกล็ดหิมะขาวโพลนไปทั่ว โดยมีเสียงน้ำไหลของของแม่น้ำสายเล็กๆ ได้ยินมาแผ่วๆ

ในการเดินทางมา ถึงครั้งนี้ทางคณะได้เข้าเยี่ยมชมโรงกลั่น "สเตรตไอล่า" ซึ่งเป็นโรงกลั่นสุราที่ต้องผสมผสานระหว่างศาสตร์และศิลป์ ก่อนจะได้สกอตช์วิสกี้ขนานแท้ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก

โดยการผลิตสก อตช์วิสกี้ ถือเป็นวัฒนธรรมอันเก่าแก่ที่สืบทอดกันมายาวนานในสกอตแลนด์ วิธีการผลิต รวมไปถึงมารยาทในการดื่ม มีแบบฉบับเป็นของตัวเอง โดย "Scotch Whisky" หรือที่รู้จักในนาม Scotch อันเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกนั้น ต้องกลั่นในสกอตแลนด์เท่านั้น และบ่มในถังไม้โอ๊กไม่ต่ำกว่า 3 ปี โดยจะไม่มีการบ่มไว้ในขวด เพราะมีแต่การบ่มด้วยถังไม้โอ๊กเท่านั้นที่จะทำให้เหล้ามีอายุเพิ่มขึ้น

วิสกี้ ตามมาตรฐานสากล กำหนดไว้ว่า จะต้องผลิตจากธัญพืชประเภท "ข้าว" เท่านั้น โดยสกอตแลนด์ใช้ข้าวบาร์เลย์มากกว่าข้าวชนิดอื่น นอกจากนั้นก็ยังมีข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์งอก (Malted Barley) ข้าวไรน์งอก (Malted Rye) โดยวิสกี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ พวก Malted Whisky ซึ่งทำมาจาก Malt Barley หรือข้าวบาร์เลย์งอก ส่วนอีกพวกคือ Grain Whisky ซึ่งผลิตจากทั้ง Malted และ ข้าวบาร์เลย์ ปกติ



โดย ขั้นตอนการผลิตวิสกี้ เริ่มต้นจากการทำมอลติง ซึ่งเป็นการนำเมล็ดข้าวมาเป็นทำเป็นมอลต์ จากนั้นจึงเป็นทำแมชชิ่ง อันหมายถึง การนำมอลต์มาละลายต้มน้ำ จากนั้นจึงนำไปสู่ขั้นตอนหมัก คือการเติมเชื้อยีสต์เข้าไปแล้ว แล้วจึงกลั่นจนได้เป็นวิสกี้สีขาว แล้วจึงมาถึงขั้นตอนสุดท้าย คือการบ่ม ซึ่งจะใช้เวลาบ่มในถังไม้โอ๊ก 3-5 ปีขึ้นไป

การผลิตวิสกี้ที่ได้รับความนิยมมากในขณะนี้ก็คือ การเบลนด์ วิสกี้ หรือที่เรียกว่า วิสกี้ผสม โดยมาจากการผสมของ Malt กับ Grain Whisky โดยเป็นการผสมเหล้าจากหลายโรงกลั่นเพื่อให้ได้รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งจะต้องรู้ทั้งชนิด แหล่งกำเนิด และคุณลักษณะของวิสกี้แต่ละชนิดอย่างแจ่มแจ้ง

การผลิตสกอตช์ วิสกี้ จึงต้องใช้ทั้งความรู้ สภาพอากาศ กระบวนการกลั่น ไปรวมถึงถังไม้ที่ใช้บ่ม เพื่อให้รสชาติออกมากลมกล่อมที่สุด ถือเป็น "ศิลปะ" อย่างหนึ่งก็คงไม่ผิดนัก

นอกจากเยี่ยมชมกระบวนการผลิต "สกอตช์ วิสกี้" แล้ว คณะจากเมืองไทยยังได้สัมผัสวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนท้องถิ่นหลายอย่างไม่ว่า จะเป็นกิจกรรมกลางแจ้ง อย่างการตกปลา และล่าสัตว์ และชมทิวทัศน์อันงดงามของชนบทในสกอต แลนด์ ถือเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากใช้เวลา 2 วันเต็มในสกอตแลนด์ คณะทั้งหมดเดินทางกลับมาสู่ลอนดอนอีกครั้ง เพื่อเข้าชมเกมการแข่งขันฟุตบอลคู่บิ๊กแมตช์ระหว่าง "ปืนโต"อาร์เซนอล และ "หงส์แดง"ลิเวอร์พูล ที่สนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม โดยได้นั่งชมในชั้น "เอ็กเซ็กคิวทีฟ บ็อกซ์" ซึ่งเป็นห้องชมเกมในฐานะแขกวีไอพี มีห้องเป็นสัดส่วนของตัวเอง มีเครื่องดื่ม อาหาร ให้บริการตลอดเวลา

แม้ ว่าจะแข่งขันเป็นคู่หัวค่ำ ท่ามกลางสายลมหนาว และมีหิมะ สายฝนโปรยปรายลงมาเป็นระยะ แต่รสชาติของเกมก็เป็นไปอย่างสนุกสนาน สีสันของกองเชียร์ละลานตาสร้างความคึกคักให้กับคณะผู้มาเยือนจากเมืองไทย เป็นอย่างยิ่ง

เกมการแข่งขันจบลงโดยอาร์เซนอลเบียดเอาชนะไป 1-0 ประตู ท่ามกลางความผิดหวังของกองเชียร์ "หงส์แดง" ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผู้ร่วมคณะมาจากเมืองไทยด้วย แต่ผลแพ้-ชนะก็ไม่สำคัญเท่ากับการได้มาสัมผัสพรีเมียร์ลีกแบบติดขอบสนาม และได้เห็นซูเปอร์สตาร์คนดังอย่าง เชส ฟาเบรกาส, สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด ฯลฯ แบบตัวเป็นๆ

รุ่งขึ้นหลังจากได้ชมเกม "บิ๊กแมตช์" อย่างเต็มอิ่มแล้ว คณะทั้งหมดยังได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมสโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ในลอนดอนถึง 3 สนามด้วยกัน คือ ไวต์ ฮาร์ตเลน ของทีม "ไก่เดือยทอง" สเปอร์, สนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ของอาร์เซนอล รวมไปถึงสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ ของทีม "สิงโตน้ำเงินคราม"เชลซี รวมทั้งมีโอกาสได้เข้าเยี่ยมห้องพักนักเตะ และแอ๊กมาดถ่ายรูปกับเสื้อของนักเตะคนดังกันอย่างปลาบปลื้ม

ซึ่งแต่ ละสโมสรก็มีรูปแบบ ความหรูหรา ประวัติความเป็นมาอันแตกต่างกัน แต่ทุกสโมสรได้แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาเพื่อเข้าสู่ระบบ "ธุรกิจ" กันแบบเต็มตัวในอนาคตอันใกล้นี้ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงสนาม หรือสร้างสนามแห่งใหม่ การเปิดร้าน "เมกะสโตร์" เพื่อขายสินค้าที่ระลึกอย่างเป็นล่ำเป็นสัน

นอกเหนือไปจากนั้น คณะจากเมืองไทยยังได้มีโอกาสเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อในลอนดอน หลายแห่งไม่ว่าจะเป็น ทาวเวอร์ บริดจ์, หอนาฬิกา "บิ๊กเบน", มหาวิหารเซนต์พอล และ มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ฯลฯ รวมไปถึงร่วมรับประทานอาหารค่ำในร้าน "เชอร์ล็อก โฮล์มส์ ผับ" ซึ่งมีโอกาสพบกับบรรยากาศและเรื่องราวอันอมตะของยอดนักสืบเชอร์ล็อก โฮล์มส์ ผู้โด่งดัง

ได้ความประทับใจที่ได้เรียนรู้ความเป็น "อังกฤษ" อย่างถ่องแท้และรอบด้าน


หน้า 21
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dNVEUzTURNMU13PT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdNeTB4Tnc9PQ==

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

ตามดู"ครูดอย" เรียนรู้พลังงานแสง

วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 7048 ข่าวสดรายวัน


ตามดู"ครูดอย" เรียนรู้พลังงานแสง


คอลัมน์ รายงานพิเศษ



บนดอยสูงห่างไกลความเจริญ ไฟฟ้ายังไปไม่ถึง

แต่ การศึกษาขั้นพื้นฐานของเด็กไทย ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลใด ก็ต้องตามไปด้วย แหล่งเรียนรู้ในชุมชนและความรู้จากเรื่องใกล้ตัว เป็นที่พึ่งหลัก มากกว่าอาศัยสื่อ อุปกรณ์เทคโนโลยีสวยงาม ไฮเทค

เมื่อเดือนก.พ.ที่ ผ่านมา สถาบันส่งเสริม การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ร่วมกับ สวทช. สพฐ. กศน. ได้จัดอบรม ครูจากโรงเรียนในโครงการนำร่องการบริหารระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในสถานศึกษาและศูนย์การเรียนชุมชนชาว ไทยภูเขา ในพื้นที่โครงการตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 2 จุด ได้แก่ จุดที่ 1 สพท.แม่ฮ่องสอน เขต 2 จุดที่ 2 โรงเรียนชุมชนบ้านแม่ต้าน อ.ท่าสองยาง จ.ตาก

กิจกรรมดังกล่าว เป็นการดำเนินงานเป็นปีที่ 3 แล้วของโครงการนำร่องการบริหารระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในสถานศึกษาและศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตั้งและถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับการใช้งานและ การดูแลรักษาระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทย ภูเขา 36 แห่ง ใน 3 จังหวัด เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และตาก

โดย พยายามผลักดันให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนในโรงเรียน เพื่อให้ครู เด็กๆ ในหมู่บ้านหรือแม้แต่คนในชุมชนรู้จักการใช้งานและการดูแลรักษาระบบผลิตไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์ และจะมีส่วนทำให้การจัดการเรียนรู้สาระการออกแบบและเทคโนโลยี ในหลักสูตรที่โครงการเทคโนโลยี สสวท.รับผิดชอบอยู่ มีโอกาสเผยแพร่ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายและยังมีส่วนช่วยเหลือผู้เรียน ที่ด้อยโอกาสอีกทางหนึ่งด้วย

กิจกรรมในการฝึกอบรม ได้แก่ ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ วิเคราะห์ปัญหา และการบำรุงรักษา การบริหารจัดการระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ประเมินผลโครงการ การนำเสนอและแลกเปลี่ยนแนวคิด ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ทบทวนกระบวนการเทคโนโลยี ทบทวนพลังงานเทคโน โลยีพลังงานแสงอาทิตย์ในชั้นเรียน การเปลี่ยนแปลงพลังงาน การเก็บและการใช้พลังงาน โครงงานเทคโนโลยี สรุปการอบรม และชี้แจงแผนการดำเนินงานที่วาง แผนไว้

คุณครูกำจัด บรุณพันธ์ ครูนิเทศก์กลุ่มแม่ฮอง เข้ามาอบรมในนาม ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา แม่ละเอาะ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาครูในกลุ่ม ทั้ง 8 กลุ่มสาระ กล่าวว่า เนื้อหาสาระสอดคล้องกับ การปฏิบัติงานของครูผู้สอนเป็นอย่างมาก สามารถใช้ความรู้ที่อบรมไปช่วยแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง ชุมชนผู้ด้อยโอกาสต้องการใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์เป็นอย่างมาก และใช้เป็นองค์ความรู้ในกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างดี

คุณครูจุฬา ธรรมกิตติวงศ์ ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา "แม่ฟ้าหลวง" บ้านป่าพลู จ.ตาก บอกว่า กลับไปจะนำความรู้ที่ได้จากการอบรมไปถ่ายทอดให้แก่นักเรียนและชุมชน โดยเฉพาะวิธีการบำรุงรักษาและการใช้ไฟฟ้าในฤดูต่างๆ ผ่านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในโรงเรียน ประกาศข่าวให้กับชุมชน

การที่คุณครูได้เข้ารับการอบรมและนำไปถ่ายทอดให้นักเรียนและคนในชุมชน จึงนับว่าเป็นการเรียนรู้ คู่กับการใช้ชีวิตโดยแท้


หน้า 30
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObFpIVXdOVEUzTURNMU13PT0=&sectionid=TURNeE5RPT0=&day=TWpBeE1DMHdNeTB4Tnc9PQ==

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

มุมมอง"สื่อนอก"วิเคราะห์ม็อบแดง

วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 7048 ข่าวสดรายวัน


มุมมอง"สื่อนอก"วิเคราะห์ม็อบแดง


รายงานพิเศษ




สิ้นเสียงระเบิดเอ็ม 79 ที่ร.1 รอ. คอการเมืองต่างคาดการณ์การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงจากนี้จะส่อแนวโน้มรุนแรงขึ้น

สื่อไทยทุกแขนงนำเสนอข่าวนี้เป็นข่าวใหญ่

หนังสือ พิมพ์พาดหัวตัวโตกันทุกฉบับ โทรทัศน์ทุกช่องพร้อมใจรายงานทุกช่วงเวลาข่าว เว็บไซต์ไม่เฉพาะแต่เว็บข่าวแข่งกันออนไลน์ทุกช่วงสถานการณ์สำคัญ เอสเอ็มเอสชิงแจ้งประเด็นร้อน

และยังคงเกาะติดสถานการณ์กันอย่างต่อเนื่อง

ไม่เฉพาะสื่อในประเทศ สื่อต่างประเทศให้ความสำคัญกับข่าวนี้เช่นกัน ทั้งที่เป็นการรายงานตามสถานการณ์และการวิเคราะห์

บีบีซี สำนัก ข่าวของอังกฤษ นอกจากจะรายงานข่าวสถานการณ์การชุมนุมเป็นข่าวนำในหน้าเว็บไซต์แล้ว ยังส่งผู้สื่อข่าว ราเชล ฮาวีย์ ไปที่จังหวัดอุดรธานี

เพื่อค้นหาคำอธิบายว่าเหตุใด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จึงได้รับความนิยมสูงไม่เสื่อมคลาย หลังจากคนในพื้นที่เลือกตั้งพรรคการเมืองของพ.ต.ท. ทักษิณ มาแล้ว 2 ครั้ง ถึงแม้พ.ต.ท.ทักษิณจะถูกโค่นอำนาจและหนีคดีคอร์รัปชั่นไปอยู่ดูไบ แต่ก็ยังคงเป็นดาราอยู่ในพื้นที่นี้

บีบีซีตั้งชื่อเรื่องว่า "ประเทศเสื้อแดงของทักษิณ" (Thaksin"s "red-shirted" country) พร้อมสัมภาษณ์ชาวบ้านในพื้นที่

รายงานว่าครอบครัวหนึ่งรักและผูกพัน ได้พบพ.ต.ท. ทักษิณ เพราะโครงการสวัสดิ การการแพทย์ที่ช่วยคนจน (30 บาทรักษาทุกโรค) ทำให้หัวหน้าครอบครัวได้รับการรักษาโรคลมชัก

ดังนั้น เมื่อมีการชุมนุมครั้งล่าสุดนี้ สองสามีภรรยาจึงเดินทางเข้ากรุงเทพฯ แม้ว่าสุขภาพจะไม่เอื้ออำนวยนัก

บีบีซีตั้ง ประเด็นตบท้ายว่า การชุมนุมครั้งนี้จะเป็นบททดสอบว่า กลุ่มชาวบ้านจะเคลื่อนไหวอย่างสันติเพื่อความเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยไม่เป็นเครื่องมือทางการเมืองของบุรุษคนเดียวได้หรือไม่



ด้าน รอยเตอร์ สำนักข่าวยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ รายงานในมุมผลกระทบทางเศรษฐกิจว่า ถึงแม้สถานการณ์การเมืองจะตึงเครียดขึ้น แต่กองทุนต่างชาติก็ยังหลั่งไหลเข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ของไทย ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีมูลค่าถึง 812 ล้านดอลลาร์

แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนยังมองเห็นประโยชน์จากเศรษฐกิจ โดยมี 3 ปัจจัยหลัก อย่างแรกคือสินทรัพย์ของไทยที่ค้าขายอยู่นั้นบวกลบราคาความเสี่ยงอยู่แล้ว

ปัจจัยต่อมาก็คือ มีแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ พ้นจากช่วงเศรษฐกิจโลกตกต่ำ

และสุดท้ายเชื่อว่า นายอภิสิทธิ์ จะรอดพ้นจากการประท้วงครั้งนี้ไปได้

รอยเตอร์คาดการณ์ด้วยว่า พรรคพันธมิตรของพ.ต.ท. ทักษิณ มีแนวโน้มจะชนะการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งอาจจะมีขึ้นช่วงปลายปีหน้า เพราะฝ่ายพ.ต.ท.ทักษิณชนะการเลือกตั้งมาทุกครั้งนับตั้งแต่ปี 2544

หากกลุ่มทหารและชนชั้นสูงในเมืองคว่ำผลการเลือกตั้ง หรืออาจก่อรัฐประหาร หรือแทรกแซงทางกระบวนการยุติธรรม อาจทำให้เกิดความไม่สงบขึ้น

ดิ อีโคโนมิสต์ นิตยสารธุรกิจที่ทรงอิทธิพลของอังกฤษ ตั้งชื่อรายงานเหมือนชื่อภาพยนตร์ว่า "คริมสัน ไทด์" หรือสายน้ำสีแดง เป็นการบรรยายความเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมเรือนแสนของกลุ่มเสื้อแดงใน กรุงเทพฯ

การชุมนุมครั้งนี้เตรียมการมาก่อนที่ศาลจะตัดสินยึดทรัพย์บางส่วนของพ.ต.ท. ทักษิณ ในวันที่ 26 ก.พ. ด้วยการระดมพลังมวลชนจากภาคเหนือและภาคอีสานที่ พ.ต.ท.ทักษิณยังเป็นฮีโร่

การเคลื่อนขบวนมาอย่างคึกคักของกลุ่มเสื้อแดง อาจมองได้ผิวเผินว่า อาจช่วยลดช่องว่างระหว่างชนบทกับคนเมืองหลวง ซึ่งเป็นสิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณใช้ประโยชน์ในการ สร้างความนิยมในช่วงที่อยู่ในตำแหน่ง

แต่การแบ่งกลุ่มทางสังคมไทยตอนนี้ขยายไปทั้งการแบ่งชนชั้น ภูมิภาค และที่เพิ่มมากขึ้นคืออุดมการณ์ทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะหาทางประนีประนอมได้

เดอะ เทเลกราฟ หนังสือ พิมพ์แนวคุณภาพของอังกฤษ มองว่า ตอนนี้ไทยเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ทหารยังคงบทบาทสำคัญในวิถีทางการเมือง ไม่เหมือนอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ที่อำนาจการบริหารอยู่ในการควบคุมของฝ่ายพลเรือน

ทหารของไทยก่อรัฐประหารโค่น พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ชนะการเลือกตั้งอย่างขาดลอยมา 2 ครั้ง การแทรกแซงครั้งนั้นทำให้ประเทศไทยตกไปอยู่ในวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่ยาว นานมาถึงปัจจุบัน

ในช่วง 3 ปีครึ่งที่ผ่านมา มีทั้งเหตุการณ์คนเสื้อเหลืองยึดสนามบินสุวรรณภูมิ การยกเลิกการประชุมสุดยอดอาเซียนที่ถูกกลุ่มเสื้อแดงบุกที่ประชุม

จนมาถึงตอนนี้กลุ่มเสื้อแดงเรียกร้องให้นายกฯ อภิสิทธิ์ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ แต่นายอภิสิทธิ์ที่ยังไม่เคยทดสอบคะแนนนิยมของตนเอง ยืนยันว่าไม่มีแผนยุบสภา

เทเลกราฟประเมินว่า นายอภิสิทธิ์ พร้อมด้วยกลุ่มรอยัลลิสต์ เหล่าทหารระดับสูง และสมาชิกครอบครัวตระกูลเก่าแก่ทางการเมือง อาจชนะในช่วงระยะสั้นนี้

แต่ ความแตกแยกระหว่างกลุ่มคนในไทยยังร้าวลึกต่อไป โดยเฉพาะช่องว่างของคนกลุ่มนี้กับคนต่างจัง หวัดในภาคเหนือและภาคอีสาน ที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายของพ.ต.ท.ทักษิณหากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ก็เสี่ยงที่จะเปิดทางให้พ.ต.ท.ทักษิณกลับมา

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความเคลื่อนไหวทั้งหมดเป็นประชา ธิปไตยที่ประเทศไทยมีอย่างเห็นได้ชัด ท่ามกลางชาติอาเซียนอื่นๆ ที่ยังขาดแคลน

ซีเอ็นเอ็น สถานีข่าวยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ยังไม่มีรายงานวิเคราะห์เจาะลึก เพียงบรรยายสถาน การณ์ประท้วงทั่วไป พร้อมระบุถึงกลุ่มคนเสื้อแดง ว่าเป็นกลุ่มที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ นายกฯ ของไทยคนเดียวที่อยู่ครบวาระและยังได้รับความนิยมสูง

การประท้วงครั้งนี้เพื่อกดดันให้นายอภิสิทธิ์ยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่

ไทม์ นิตยสารทรงอิทธิพลของสหรัฐ เน้นการรายงานไปที่การรับมือของนายกฯ อภิสิทธิ์ ซึ่งปฏิเสธข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมเสื้อแดงว่า มีทั้งกฎหมายความมั่นคงและกองทหาร 30,000 นาย ที่ประจำการรักษาความสงบอยู่ในเมืองหลวง

อภิสิทธิ์ยืนยันว่าจะไม่ใช้กำลังต่อผู้ประท้วงหากไม่ละเมิดกฎหมาย พร้อมกล่าวหาผู้นำการประท้วงว่าพยายามยั่วยุด้วยการเปิดเทปตัดต่อว่า นายอภิสิทธิ์สั่งให้ทหารยิงผู้ชุมนุมได้ในการประท้วงที่วุ่นวายเมื่อเดือนเม .ย.ปีก่อน

คริส เบเกอร์ นักวิเคราะห์เศรษฐกิจและการเมืองของไทม์ในไทย ให้ความเห็นว่า "ผมยังคาดเดาไม่ได้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร"

อัลจาซีรา สถานี ข่าวช่องสำคัญของชาติอาหรับ รายงานเหตุการณ์การประท้วง พร้อมย้อนไปว่า สถานการณ์การเมืองไทยเข้าสู่ภาวะวุ่นวายอลหม่านนับตั้งแต่ปี 2549 ที่มีการประท้วงของคนเสื้อเหลือง ตามด้วยการรัฐประหารของทหารที่โค่นอำนาจ พ.ต.ท. ทักษิณ

ส่วนกลุ่มคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวตั้งแต่นายอภิสิทธิ์ ขึ้นเป็นนายกฯ ในเดือนธ.ค.2551

เป็นมุมมองของสื่อต่างชาติต่อสถานการณ์การเมืองของไทย ที่แม้แต่คนไทยเองก็ยากคาดเดาถึงอนาคต


หน้า 3
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd2Iyd3dNVEUzTURNMU13PT0=&sectionid=TURNd05BPT0=&day=TWpBeE1DMHdNeTB4Tnc9PQ==

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

"ลำน้ำยัง"แห้งขอด ต้นเหตุโครงการยัดเยียด

วันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 23:19 น.  ข่าวสดออนไลน์


"ลำน้ำยัง"แห้งขอด ต้นเหตุโครงการยัดเยียด

 เมื่อ 14 มี.ค. นายบรรยง รอเสนา อดีตเกษตรตำบล เจ้าพนักงานการเกษตร สำนักงานเกษตรอำเภอเมยวดี จ.ร้อยเอ็ด บ้านเลขที่ 117 ม.4 บ้านวังใหญ่ ต.กกโพธิ์ อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด  เปิดเผยว่า วันนี้สถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่หนักกว่าทุกปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะริมฝั่งลำน้ำยัง ที่เป็นลำน้ำสายหลักผ่านมาหลายปี แก้ไขปัญหาให้เกษตรกรไม่ได้ หน้าฝนน้ำท่วมหนัก ทั้งสองฝั่งลำน้ำ ตั้งแต่อำเภอเขาวง อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ ผ่านเข้ามาอำเภอโพนทอง อำเภอเมยวดี อำเภอเสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด หน้าแล้งไม่เหลือน้ำให้เห็น หน้าฝนน้ำท่วมเรือกสวนไร่นา หากมีความจริงใจในการ แก้ไขปัญหาลำน้ำยังหล่อเลี้ยงภาคการเกษตรหน้าแล้งได้ ตนเองเป็นเกษตรตำบล ลาออกเป็นเกษตรกร ลำน้ำยัง ไม่แตกต่างกัน คือยังเหมือนเดิม

 

 นายบรรยง กล่าวว่าสภาพลำน้ำยัง วันนี้ แห้งขอดน้ำเหลือเพียงน้อยนิด ยกเว้นที่ตำบลสว่าง อ.โพนทอง ที่มีการกั้นลำน้ำไว้ใช้ สูบขึ้นมาโดยโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้าสว่าง แต่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ ชาวบ้านไม่กล้าปลูกพืชเพราะกลัวน้ำไม่เพียงพอตลอดช่วงการปลูกพืช  ตนเองอยากให้รัฐบาลพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่ ก่อนตัดสินใจในการทำงานในพื้นที่ อย่ายัดเยียดโครงการที่ไม่เกิดประโยชน์กับประชาชน ลำน้ำยังต้องได้รับการพัฒนามากกว่านี้

 
















http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRJMk9EVTRNemMyT0E9PQ==
--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

Taki เก้าอี้ไม้อัดฟางข้าว เรียบง่าย...เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม


วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4192  ประชาชาติธุรกิจ


Taki เก้าอี้ไม้อัดฟางข้าว เรียบง่าย...เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม





เป็น 2 รายการสินค้าที่ได้รางวัล DE-Mark และ G-Mark ผลงานของบริษัท มีปิยบุญ จำกัด

รายการ แรกคือ Taki Rice chair เก้าอี้ที่ผลิตจากไม้อัดฟางข้าว รายการที่ 2 คือ Husk Stool/Bench เก้าอี้ที่ผลิตจากไม้อัดแกลบ ซึ่งไม้อัดทั้ง 2 ตัวเป็นวัสดุธรรมชาติ 100% ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันก็บ่งบอกถึงความเป็นไทย เนื่องจากเราเป็นประเทศที่มีการปลูกข้าวและผลผลิตทางการเกษตรที่สมบูรณ์

พนม สุข มีลักษณะ กรรมการผู้จัดการ และนักออกแบบ บริษัท มีปิยบุญ จำกัด ผู้ผลิตและส่งออกเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ เล่าว่า บริษัทก่อตั้งขึ้นมาได้ประมาณ 4 ปี และเข้าสู่ธุรกิจผลิตและส่งออกเฟอร์นิเจอร์ด้วยการขายไอเดียในการออกแบบ ภายใต้คอนเซ็ปต์เฟอร์นิเจอร์อารมณ์ดี

"สินค้าที่ผลิตส่วนใหญ่จะเน้นความเรียบง่าย ใช้งานสะดวก และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม"

ซึ่ง ก่อนหน้าที่จะออกแบบ Taki Rice chair และ Husk Stool/Bench นั้น ชิ้นงานที่ผลิตออกมาจะเป็นไม้มาตลอด ได้แก่ ไม้สัก ไม้โอ๊ก และไม้แอช ซึ่งเป็นวัตถุดิบนำเข้าเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเราเห็นเทรนด์มาตั้งแต่ต้นว่า แนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคจะมุ่งสู่การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่ง แวดล้อม



"เรา ก็จับเทรนด์พฤติกรรมของผู้บริโภค และมาบวกกับงานออกแบบของเราที่เน้นความเรียบง่าย พยายามใช้สีที่เป็นธรรมชาติที่มาจากเนื้อไม้แท้ หรือถ้าจะปรุงแต่งก็ใส่ให้น้อยที่สุด"

อย่างโชว์รูมของบริษัทก็จะใช้ บ้าน เป็นโชว์รูมที่มีการออกแบบจริง ๆ เป็นบ้านเปลือย ๆ เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ในการตกแต่งก็เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่เราทำขาย โต๊ะ เตียง เก้าอี้ ฯลฯ ของทุกอย่างใช้งานจริง ๆ ในบ้าน ขณะเดียวกันก็ใช้เป็นโชว์รูมให้ลูกค้าได้ดูด้วย

ซึ่งที่ผ่านมาสินค้าภายใต้การออกแบบตามคอนเซ็ปต์อารมณ์ดีก็ได้รับการตอบรับที่ดี ทั้งจากลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ

จน เมื่อปีที่แล้วบริษัทได้มีการพัฒนาโดยเลือกใช้ไม้ที่ผลิตในประเทศมาเป็น วัตถุดิบ นั่นก็คือ ไม้อัดที่ทำจากฟางข้าว ไม้อัดจากแกลบ และจากตะไคร้

พนม สุขบอกว่า บริษัทของผมไม่ได้เป็นเจ้าของนวัตกรรมไม้อัดจากฟางข้าวและไม้อัดจากแกลบ แต่บริษัทผมเป็นรายแรกที่มีการพัฒนาโดยเลือกใช้ไม้อัดชนิดดังกล่าวมาพัฒนา และออกแบบเป็นเฟอร์นิเจอร์

"เจ้าของไม้อัดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมคือบริษัท โกลเด้นท์ จำกัด ซึ่งมีการผลิตไม้อัดนานาชนิด



ขณะ เดียวกันเขาก็ได้มีวิจัยพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ซึ่งมีไม้อัดจากฟางข้าว แกลบ และตะไคร้รวมอยู่ด้วย ซึ่งพอผมไปพบ ก็เกิดแนวคิดว่า ถ้านำมาพัฒนาเป็นเฟอร์นิเจอร์จะทำได้มั้ย" พนมสุขกล่าวและว่า

เพราะ ไม้อัดก็คือ ไม้อัดเป็นแผ่น ๆ ขนาด 4 ม.ม., 8 ม.ม. แผ่นใหญ่ ๆ บาง ซึ่งผมก็ต้องมานั่งคิดว่า จากไม้อัดเป็นแผ่น ๆ ถ้านำมาผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์จะทำอะไรได้บ้าง ก็ทำงานร่วมกันกับบริษัทด้วย ในที่สุดก็ออกมาเป็นเก้าอี้ และม้านั่งอย่างที่เห็น

"ที่ให้ความ สวยงามแบบเรียบง่าย โดยพยายามใช้สีที่เป็นธรรมชาติทั้งหมด โดยถ้าเป็นไม้จากฟางข้าวก็จะมีสีเหลืองอ่อน ๆ แต่ถ้าเป็นสีของแกลบก็จะมีชมพู ส้มนิด ๆ"

และก็เป็นไปตามคาด คือผลิตออกมาแล้วโดนใจผู้บริโภค ขณะเดียวกันก็โดนใจกรรมการ จนได้รางวัล DE-Mark และ G-Mark และนำมาโชว์ใน TIFF 2010 ที่จัดที่อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 10-14 มีนาคมนี้

พนมสุขกล่าวว่า เทรนด์สินค้าที่เป็นเมิตรกับสิ่งแวดล้อมนั้นมาแรงมาก ซึ่งเป็นแบบนี้มา 2-3 ปีแล้ว และปีนี้ก็ยังคงอยู่และ เชื่อว่าเทรนด์นี้น่าจะอยู่อีกนาน ด้วยกระแสลดโลกร้อนยังเป็นกระแสหลักที่ทุกคนในโลกล้วนตระหนักและห่วงใย ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ไม้ จากวัสดุธรรมชาติ แถมไม่ได้ตัดไม้ทำลายป่า แต่เป็นไม้แปรรูปจากเศษวัสดุ สามารถพัฒนาขึ้นรูปจนนำกลับมาใช้ได้นั้น จึงคาดว่าโอกาสทางตลาดน่าจะได้รับการตอบรับที่ดี

ที่สำคัญกลยุทธ์ที่ ใช้เสริมก็คือ ตั้งราคาไม่แพง โดยตั้งราคาเท่ากับเฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตจากไม้โอ๊ก ไม้แอช ทั้งที่ข้อเท็จจริงต้นทุนไม้อัดจากแกลบและฟางข้าวมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า

"ผม ไม่อยากให้ผู้บริโภคคิดว่า สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมต้องมีราคาสูงตลอด แต่อยากให้เข้าใจถึงความสมเหตุสมผล กับต้นทุน กระบวนการผลิต การออกแบบ และเรื่องราวของวัตถุดิบที่มีเรื่องราว มีที่มาที่ไป

ซึ่งจากวิธีคิด ทำให้ผมมั่นใจว่า ทั้งเก้าอี้ ม้านั่ง ตลอดจนผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ตามออกมาน่าจะได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี และทำให้สินค้าในกลุ่มที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ฝีมือคนไทย อยู่ได้อีกนาน" พนมสุขกล่าวตอนท้าย


หน้า 44
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02biz01150353&sectionid=0214&day=2010-03-15

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

"ว.วชิรเมธี" ปะทะ "ก่อศักดิ์" ถก"สามก๊ก" ในมุม "ธรรมะ"สร้างผู้นำ

วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4192  ประชาชาติธุรกิจ


"ว.วชิรเมธี" ปะทะ "ก่อศักดิ์" ถก"สามก๊ก" ในมุม "ธรรมะ"สร้างผู้นำ





ใน อดีตแม้จะมีการกล่าวกันว่า "อ่านสามก๊ก จบสามรอบ คบไม่ได้" แต่ในปัจจุบันก็มีคน ตั้งคำถามกันมากว่า อ่านสามก๊ก สามจบ คบไม่ได้ จริงหรือ ?

"ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ เป็นคนหนึ่งที่เห็นแย้งกับเรื่องนี้ โดยบอกว่า สามก๊กไม่ใช่หนังสือที่อ่านแล้วจะกลายเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยมและเต็มไปด้วย ความโหดเหี้ยม แต่ยังมีเรื่องของคุณความดีที่สามารถนำไปเป็นแบบอย่างได้

ใน ฐานะที่ชอบอ่านเรื่องสามก๊กมาตั้งแต่เด็ก ซีอีโอซีพี ออลล์ ยืนยันว่า อ่านสามก๊กกี่จบก็คบได้ ถ้าหากใช้ความคิดที่เข้มข้น มองทะลุชีวิตจิตใจคน มองเห็นผลแห่งกรรมที่เป็นไป

หนังสือ "อ่านสามก๊ก...ถกบริหาร" เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ หยิบเรื่องราวการบริหารคนของผู้นำเก่ง ๆ ในยุคสามก๊กซึ่งถือเป็นยุคที่มีสีสันมากยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์ของจีนมาให้ ผู้ที่สนใจได้ เรียนรู้แนวทางการบริหารของผู้นำทั้ง สามก๊กที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซีอีโอทางโลก"ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์" ก็ได้นัดพบซีอีโอทางธรรม "พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี" หรือที่สาธุชนคุ้นเคยกันดีในนาม "ว.วชิรเมธี" เปิดเวทีพูดคุยในหัวข้อ "อ่านสามก๊ก...ถกธรรมะ" ซึ่งเป็นงานเสวนานัดพิเศษในโครงการเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ

บนชั้น 11 ของอาคารซี.พี.ทาวเวอร์ ถนนสีลม จึงเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่อยากร่วมค้นหาคำตอบ และฟังมุมมอง ของ 2 ซีอีโอในเรื่องนี้

และ ด้วยบทบาทหน้าที่ของซีอีโอทางโลกและซีอีโอทางธรรมที่อาจแตกต่างกันอย่างสิ้น เชิง มุมมองและวิธีคิดเรื่องธรรมะในสามก๊กที่ถูกหยิบมานำเสนอมีสีสันไม่แพ้ เวทีอื่น

ว.วชิรเมธี เปิดเวทีเสวนา ด้วยการย้อนอดีตให้ฟังว่า หลังจากที่เข้ามาเรียนรู้เรื่องธรรมะก็เห็นว่า การรู้เรื่องธรรมะอย่างเดียวไม่เพียงพอ เปรียบเสมือนคนที่มีตาข้างเดียว จึงต้องหาสะพานเชื่อมหาวิธีอธิบาย ในวัยเด็กชอบอ่านสามก๊ก เพราะรู้สึกว่าอ่านแล้วสนุก จึงคิดว่าเรื่องราวของสามก๊กน่าจะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างทางโลกกับทางธรรม ได้ เป็นวิธีการอธิบายธรรมะผ่านการเล่าเรื่อง

"ถ้าเรานำบุคลิกของตัวละครแต่ละคนมาอธิบายเป็นธรรมะง่าย ๆ จะพบว่า ชีวิตคนเรานั้นแบ่งเป็นสามก๊กจริง ๆ คือก๊กโลภ ก๊กโกรธ และก๊กหลง"

ตัวอย่าง ตัวละครที่เป็นตัวแทนของ "ก๊กโลภ" ในมุมของ "ว.วชิรเมธี" คือลิโป้ ผู้ที่ยอมฆ่าพ่อตัวเองเพียงเพราะความโลภอยากเป็นหัวหน้ากองทัพใหญ่

ตัว แทนของ "ก๊กโกรธ" คือเตียวหุย ซึ่งรบชนะมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แต่ต้องมาตายด้วยน้ำมือลูกน้องตัวเอง เพราะใช้ความโกรธในการสั่งการ

ส่วน "ก๊กหลง" นั้น "ว.วชิรเมธี" มองว่า มีอยู่ในทุกตัวละคร เพราะทุกคนล้วนหลงอยู่ในวังวนของลาภ, ยศ, ทรัพย์สิน, อำนาจ และอิสตรี ตัวเอกในวรรณกรรมส่วนใหญ่จะหลงอยู่ในเกมแห่งอำนาจ

ซึ่งมองสอดคล้องกับ "ก่อศักดิ์" ที่ยกตำแหน่งตัวแทนแห่งความโลภให้กับลิโป้

ถึง แม้สามก๊กจะเป็นเรื่องราวของการทำสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่ แต่ก็ให้ข้อคิดหลายเรื่องในการทำงาน ที่น่าสนใจคือเรื่องของอิทธิบาท 4 ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา และไตรสิกขา

ในเรื่องนี้ "ว.วชิรเมธี" พระนักเทศน์ชื่อดังได้ฉายภาพอิทธิบาท 4 ให้ฟังว่า เป็นคู่มือของการทำงานฉบับที่ใช้ได้ในทุกยุคทุกสมัย ตัวอย่างที่เห็นในเรื่องสามก๊ก คือตัวละครเอกของเรื่องอย่าง "เล่าปี่"

ฉาก ชีวิตของเล่าปี่สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า เล่าปี่นั้นเป็นผู้มี "ฉันทะ" หรือการมีใจรัก เพราะรักและมุ่งมั่นที่จะเป็นฮ่องเต้ ตั้งแต่เด็ก ประกอบกับเป็นคนที่มี "วิริยะ" จึงใช้ความพียรพยายามนานกว่า 30 ปี ก็สามารถก้าวจากชาวบ้านธรรมดาจนได้ขึ้นครองประเทศตอนอายุ 60 ปี

แต่ อย่างไรก็ตาม "เล่าปี่" ก็ยังมี "จิตตะ" คือความอุทิศตนอยู่ในตัวเอง ค่อนข้างสูง ถึงแม้ว่าจะได้เป็นใหญ่แล้ว แต่ก็ยังลดตัวลงคุกเข่าขอร้องขงเบ้ง ซึ่งเป็นเพียงคนหนุ่มไร้ผลงาน แต่มีแววความสามารถสูง ให้ยอมมาร่วมงานด้วย

สุดท้ายในเรื่อง "วิมังสา" คือการใช้ปัญญา เล่าปี่ได้แสดงให้เห็นว่า เขาสามารถใช้ปัญญาในการพัฒนาตัวเอง เริ่มต้นจากคนทอเสื่อขาย แล้วค่อย ๆ พัฒนาตนจนเติบใหญ่กลายเป็นผู้นำแผ่นดินได้

เล่าปี่จึงเป็นตัวอย่าง หนึ่งของผู้บริหารที่ใช้ธรรมะนำทาง จนได้รับการยกย่องจากผู้ที่อ่านสามก๊กและไม่เคยอ่านเรื่องนี้เลยว่าเป็นผู้ มีคุณธรรม โดยคำกล่าวของเล่าปี่ที่ตรึงใจผู้คนจนทุกวันนี้ คือ "อย่าเห็นความดีเพียงเล็กน้อยแล้วเพิกเฉยไม่ทำ อย่าเห็นความชั่วเพียงเล็กน้อยแล้วเผลอไปทำ..."

สำหรับเรื่องของ "ไตรสิกขา" อันประกอบด้วยศีล สมาธิ และปัญญา "ก่อศักดิ์" มองว่า ตัวละครที่น่านับถือ เป็นคนที่มีศีลในเรื่องสามก๊ก คือกวนอู ผู้ที่โจโฉต้องการตัวไปทำงานด้วยหลายครั้ง แต่เขากลับไม่ยอมไป เพราะมีสัจจะภักดี กับเล่าปี่ ส่วนขงเบ้งนั้น ถือว่าเป็นตัวแทนของนักบริหารที่เยี่ยมยอด นอกจากจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้แล้ว ยังควบตำแหน่ง ผบ.ทบ.ได้อีก เพราะขงเข้ง ได้ชื่อว่าเป็น ผู้มีสมาธิในการทำงานสูง สามารถใช้สมาธิในการบริหารงานกองทัพได้เป็นอย่างดี แม้จะมีเรื่องราวต่าง ๆ คอยกวนใจ

สำหรับตัวละครที่เป็นตัวแทนของเรื่อง "ปัญญา" นั้น "ก่อศักดิ์" ยกตำแหน่งให้ "อาเต๊า" ผู้ซึ่งรอบตัวเต็มไปด้วยคนที่ประจบสอพลอ แต่เพราะเขามีปัญญา จึงไม่หลงกลใครได้ง่าย ๆ

"จะว่าไปแล้ว สามก๊กก็เป็นเสมือนเงาสะท้อนวิถีชีวิตของผู้คน สะท้อนให้เห็นภาวะผู้นำของแต่ละคน ชั่วโมงนี้ เราอยากได้ผู้นำแบบไหน ลองกลับไปคิดดู"

"ว.วชิรเมธี" ทิ้งท้ายอย่างน่าคิด


หน้า 31
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02hmc01150353&sectionid=0220&day=2010-03-15

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/