ชมพุทธประวัติ ฉบับการ์ตูน

Art of Asia: Buddhism - The Art of Enlightenment

ใครๆก็แก้กฎหมายได้(คุณก็ด้วย)

การแนะแนว"อนาคตประเทศไทยกับ 10 อาชีพสุดฮิพ"จัดโดยมูลนิธิไทยคม 10-11 ต.ค.52

Bookmark and Share

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล หลานลุงบุญมีระลึกชาติ และรางวัลจากคานส์

วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4222  ประชาชาติธุรกิจ


อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล หลานลุงบุญมีระลึกชาติ และรางวัลจากคานส์


คอลัมน์ EXCLUSIVE INTERVIEW

โดย ณัฐกร เวียงอินทร์/ภาพ ...สมจิตร์ ใจชื่น




หากพูดถึงรางวัลเกียรติยศในแวดวงคนทำหนังระดับโลก แน่นอนว่ารางวัลออสการ์เป็นรางวัลกระแสหลักที่คนไทยคุ้นหูมากที่สุด

แต่ อันที่จริงแล้ว ยังมีหอเกียรติยศระดับโลกอีกมากมายที่ไม่ได้ถูกพูดถึงมากเท่ากับรางวัลจาก คุณลุงออสการ์ อย่างรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเมืองคานส์ เป็นอีกรางวัลใหญ่รางวัลหนึ่งที่คนบ้านเราไม่ค่อยคุ้นหูกันในวงกว้าง

จน เมื่อภาพยนตร์เรื่อง "สุดเสน่หา" (Blissfully Yours) ได้รับรางวัล Un Certain Regard ในปี พ.ศ. 2545 และภาพยนตร์เรื่อง "สัตว์ประหลาด !" (Tropical Malady) ได้รับรางวัล Jury Prize ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ทำให้คนดูหนังจำนวนมากรู้จักกับภาพยนตร์เมืองคานส์มากขึ้น เพราะภาพยนตร์ 2 เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ฝีมือกำกับของคนไทย โดยเฉพาะเรื่องที่สอง "สัตว์ประหลาด !" นั้นก้าวไปไกลถึงรางวัลรองชนะเลิศของสายประกวดหลักของ "หนังเมืองคานส์" เลยทีเดียว

ชื่อของชายผู้นี้คือ เจ้ย-อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล

ความ แรงของเขาในเวทีหนังโลกไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ เพราะในวันนี้ เจ้ย หรือที่ฝรั่งเขาเรียกว่าโจ (Joe) เพื่อให้ง่ายต่อการออกเสียง สามารถพิชิตรางวัลหนังเมืองคานส์ได้แล้ว เขาได้ รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปาล์มทองคำ ในเทศกาลหนังเมืองคานส์จากหนังเรื่องล่าสุดของเขาที่ไม่รู้ว่าคนไทยจะได้ชม กันหรือเปล่า นั่นคือ ภาพยนตร์เรื่อง "ลุงบุญมีระลึกชาติ"

แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่โปรดักชั่นขนาดยักษ์ และสไตล์ของหนังคงทำให้คนดูงงงวยพอสมควร

แต่ ทิม เบอร์ตัน ผู้กำกับชื่อดังที่เป็นหัวหน้าคณะกรรมการตัดสินรางวัลหนังเมืองคานส์ในปีนี้ บอกว่า ประสบการณ์ความรู้สึกที่เขาได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพบมา ก่อน เพราะมันเหมือนเป็นความฝันที่แปลกมาก โดยหนังเรื่องนี้ได้พูดถึงลุงบุญมีที่กำลังล้มป่วยด้วยอาการไตวาย และเชื่อว่าความเจ็บป่วยที่เป็นอยู่อาจเกี่ยวกับกรรมที่เขาเคยฆ่าสมาชิกพรรค คอมมิวนิสต์เมื่อครั้งอดีต และเมื่อเขาระลึกชาติได้ จึงน่าสนใจ

ว่า ตัวละครตัวนี้มองเห็นอะไร ? ต้องตามดู

เจ้ยเล่าให้ฟังว่า เขารู้มาก่อนแล้วว่าจะได้รางวัลในเทศกาลเมืองคานส์รางวัลใดรางวัลหนึ่ง

"ทาง ทีมจัดงานโทร.มาบอกแล้วว่าผมได้รางวัล สักรางวัล แต่ไม่รู้ว่าเป็นรางวัลอะไร ผมก็เลยเตรียมสคริปต์ไว้ขึ้นไปพูดบนเวที ซึ่งไม่ว่าจะได้รางวัลอะไร ผมก็จะตั้งใจที่พูดตามสคริปต์นี้ แล้วหนังอีกเรื่องหนึ่งว่าได้รับรางวัลรองชนะเลิศ ผมก็ดีใจกับเขา แล้วนึกในใจว่า เราได้รางวัลแล้วว่ะ แต่ก็ยังไม่กล้าที่จะมั่นใจว่าเราได้เต็มที่ เพราะเคยมีบางปี ที่เชิญผู้กำกับ ดารา มารับรางวัล แล้วปรากฏว่าเชิญพลาดเพราะเขาไม่ได้รับรางวัลอะไรเลย ผมก็กลัวจะมีโอกาสเป็นอย่างนั้น ก็เลยยิ่งนิ่งอยู่ แต่สุดท้าย หนังของผมได้รางวัลนี้ เมื่อขึ้นไปรับรางวัล ผมจึงพูดตามสคริปต์ที่เตรียมไว้"

ข้อความที่เจ้ยพูดในขณะที่ได้รับรางวัลนี้ก็คือ...

"ขอ ขอบคุณดวงวิญญาณและภูติผีทั้งหมดในประเทศไทย ที่ทำให้ผมสามารถมายืนอยู่ ณ ที่นี้ สุดท้ายอยากขอบคุณพ่อแม่ของผม ซึ่งเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เคยพาผมไปดูหนังที่โรงหนังเล็ก ๆ ในจังหวัดเล็ก ๆ ของเรา ตอนนั้นผมยังเด็ก และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เห็นบนจอนั่นคือภาพยนตร์ แต่ด้วยรางวัลนี้ผมคิดว่าผมเริ่มรู้จักภาพยนตร์มากขึ้นอีกนิด แต่ภาพยนตร์ยังเป็นสิ่งลึกลับ และผมคิดว่าความลึกลับนี้แหละที่ทำให้พวกเราจะกลับมาที่นี่อีก เพื่อจะมาแชร์ มาร่วมแบ่งปันทัศนคติความคิดเห็นที่เรามีต่อโลกของเราด้วยกัน ขอบคุณครับ"

ซึ่ง แม้ว่าเขาจะบอกว่า "ขอขอบคุณดวงวิญญาณและภูติผี" แต่โดยส่วนตัวแล้ว ในขณะนี้เขาบอกว่า "เมื่อก่อน ผมเชื่ออยู่บ้างในเรื่องวิญญาณ แต่พอมาทำหนังเรื่องนี้แล้วต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับวิญญาณ หรือหมู่บ้านที่คนในหมู่บ้านระลึกชาติได้ เห็นกรณีศึกษามากมาย มันเลยทำให้ผมเริ่มที่จะไม่เชื่อ จนกว่าจะได้เห็นกับตัวเอง"

รางวัล นี้เป็นรางวัลใหญ่ระดับโลก จึงน่าสนใจว่า หลังจากที่เจ้ยเข้าไปมีชื่อในทำเนียบช่อมะกอกของคานส์ การหาทุนของเขาก็ง่ายขึ้น รวมไปถึงการดึงนักแสดงดัง ๆ มาทำงานด้วยอาจจะไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่นัก จึงน่าสนใจว่า วิธีการทำหนังของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ทำหนังด้วยงบฯเล็ก ๆ เดินทางเข้าไปในป่ากับทีมงานขนาดย่อมแบบเดิมไหม

"ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ ว่าจะเข้าป่าหรือทำอะไร แต่ว่าน่าจะคิดว่าเรามีความสุขกับหนังแบบไหนมากกว่า เคยพยายามทำหนังกับนายทุนมาแล้ว แล้วมันสื่อสารด้วยความไม่เข้าใจกันแล้ว มันไม่มีความสุข รู้สึกว่า เรื่องเงินมันสำคัญ แต่ที่สำคัญด้วยกว่าก็คือ สิ่งที่เขาและเรารู้ว่าจะทำอะไรที่ไม่โกหกกัน อันนี้สำคัญที่สุด อย่างโปรดิวเซอร์ที่ผมทำงานด้วยตลอด เราจะว่ากันซื่อ ๆ คือ จำนวนเงินไม่สำคัญ เราก็บอกว่าเราอยากทำอะไร ผมไม่ได้มีโปรเจ็กต์เดียว มีหลายโปรเจ็กต์ แล้วเขาจะพยายามช่วยกันพิจารณาว่างบประมาณขนาดนี้ เป็นไปได้ไหม คือเหมือนเราช่วยกัน มันซับซ้อนกว่านั้น ต้องดูก่อนน่ะครับ"

ภาพยนตร์ของเขาได้รางวัลเมืองคานส์ แล้ววงการหนังไทยจะได้รับอะไร ?

"ผม รู้สึกว่า มันจะเป็นแรงบันดาลใจไม่มากก็น้อย ไม่ใช่แค่คนทำหนังในบ้านทำหนังมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น หรือมีความเป็นประเด็นมากขึ้น แต่อยากกระตุ้นว่า โอเค เรามีหนังที่ได้รางวัลสูงสุดของโลกนะ มันเหมือนกับการยกระดับคุณภาพอย่างหนึ่ง ซึ่งบ้านเรามีอยู่แล้ว แต่เขาไม่เห็น ไม่ใช่หมายถึงผมนะ ผมหมายถึงคุณภาพของบุคลากร คุณภาพของอุปกรณ์ ช่างเทคนิคอะไรอย่างนี้ ในวงการหนังบ้านเรามีมาตรฐานดีมาก แต่เขาไม่เห็น ตรงนี้ผมรู้สึกว่า มันก็มีสิ่งดี ๆ ดึงคนเข้ามาทำหนังดูหนังมากขึ้น เราอยากให้อาจารย์สอนภาพยนตร์มากขึ้น"

พูดถึงวงการหนังไทย ก่อนหน้านี้เขาได้ต่อสู้เพื่อวงการคนทำหนังด้วยการได้ส่งจดหมายล่ารายชื่อใน เฟซบุ๊ก ค้านกระทรวงวัฒนธรรมที่จัดสรรงบประมาณไทยเข้มแข็ง 100 ล้านให้หนังฟอร์มใหญ่ เรื่อง "ตำนานสมเด็จพระนเรศวร" ภาค 3 และ 4 ซึ่งเขาเล่าให้ฟังว่า

"ผมรู้สึกว่าหลักการของเขาคลุมเครือตั้งแต่แรก แล้ว ตั้งแต่ระเบียบการและการเร่งรีบของการได้ทุน แล้วอีกอย่างที่เปิดช่องเลยก็คือว่า เราก็คือ รู้สึกแปลก ๆ แต่ว่าเราก็ส่งโปรเจ็กต์เราเข้าไป เพราะว่าโปรเจ็กต์ของเราขอความช่วยเหลือไปหลายที่ เช่นเดียวกันกับที่เราส่งไปที่อีกหลายประเทศ 5-6 ประเทศเลย เราก็ถือว่าเป็นประเทศบ้านเกิดของเรา เราก็เลยลองส่งไปครั้งแรก แล้วผลที่ออกมาเรารู้เลยว่า มันไม่ใช่ นั่นเป็นช่องโหว่ เรื่องของการที่ให้การสนับสนุนทะลุเพดาน แล้วไม่ยอมบอกลักษณะการให้ความสนับสนุนอย่างชัดเจน เช่น การพิจารณาบทภาพยนตร์ การถ่ายทำภาพยนตร์ ขั้นตอนการคัด ไม่มีรัฐบาลที่ไหนในโลกทำ เราเลยคิดว่า จากประสบการณ์ที่เราขอทุนมา 10 กว่าปีนี่ เราอยากต้องการความช่วยเหลือ เพราะว่าเราอยากเห็นในอนาคตของคนทำหนัง"

แม้ว่าหนังของเจ้ยจะได้รับ เงินจากงบฯนี้ถึง 3.5 ล้านบาท แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะอยู่นิ่งมองดูความลักลั่นในเรื่องการให้ทุนทำ หนัง...

"พอหนังนเรศวรได้ทุนครึ่งหนึ่ง สิ่งที่เราทำก็คือ เราแค่ตั้งคำถามให้ทางเขาเข้าใจว่า เป็นเรื่องที่กลุ่มคนทำหนังทั้งที่ได้ทุนและไม่ได้ทุนไม่เห็นด้วย รู้สึกว่า ข้าราชการ คือผู้ที่ต้องรับฟัง รับใช้ประชาชน ไม่ใช่กลับกัน เขาต้องทำงานให้เรา เรามีสิทธิ์ที่จะพูดในสิ่งที่เราไม่เห็นด้วย เราขอได้ตามเป้า สามล้านห้าแสนบาทก็จริง แต่ภาพรวมไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ แต่การเคลื่อนไหวเรื่องนี้ในบ้านเรา ผมรู้สึกว่า ที่เราทำมันน้อยมาก ก็พูดยาก แต่ถ้าเกิดในประเทศอื่น รับรองว่าคนทำหนังออกมาประท้วงแน่ อย่างที่เกาหลีใต้ ครั้งหนึ่งเคยมีปัญหาแบบนี้แล้วนักทำหนังเขาเดินขบวนเลย คือสิ่งที่เราทำ ถ้าเทียบกับเขา ดูเรียบร้อยมาก แต่เราทำตามแบบประชาธิปไตย...

...เราไม่ได้มองเรื่องชนะหรือไม่ชนะ เราไม่ได้มองเป็นการต่อสู้ แต่ว่า มันเป็นการช่วยกันเพื่อที่จะพัฒนามาตรฐานในการทำเรื่องนี้ให้ถูกต้อง ท่านมุ้ย (ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ผู้กำกับ "ตำนานสมเด็จพระนเรศวร") กับผม ไม่มีอะไรโกรธกัน ซึ่งถ้าภาครัฐจะตัดสินใจให้ทุน 200 ล้าน 500 ล้าน 1,000 ล้าน ผมก็จะไม่ประท้วง ในกรณีที่เขาไม่เอามารวมกับโปรเจ็กต์นี้ เข้าใจว่าหนังได้ทุนเยอะเพราะว่านายกฯอภิสิทธิ์รับนโยบายมาตอนที่ไปเยี่ยม กองถ่ายท่านมุ้ยตั้งแต่ปีที่แล้ว ว่ารัฐจะสนับสนุนเรื่องนี้แล้วยกให้ท่านรัฐมนตรีธีระ สลักเพชร (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมในขณะนั้น) รับเรื่องนี้มา เพราะฉะนั้น เราจะเห็นได้ชัดว่าทางกระทรวงวัฒนธรรมต้องสนับสนุนหนังเรื่องนี้ คราวนี้ หลังประกาศทุน มันรู้สึกไม่ชัดเจน รู้สึกไม่ยุติธรรมว่าจะตั้งคณะกรรมการคัดเลือกทุนขึ้นมาทำไม รู้สึกว่ามีอิทธิพลทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะ แสดงว่าคณะกรรมการให้ทุน มีอิทธิพลทางการเมืองเยอะ ฉะนั้นแสดงว่าคุณไม่โปร่งใสแล้ว"

ใช่ว่าเขาจะโวยวายโดยที่ไม่เสนอทางออก...

"ผม รู้สึกว่า มันควรจะมีงบฯสองงบฯเลย งบฯหนึ่งตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนภาพยนตร์พระนเรศวรแปดพันล้านให้ไปสิบภาคเลย ก็ว่ากันไป แล้วอีกงบฯเป็นงบฯที่ประกาศชัดเจนเลยว่าจะให้คนทำหนังว่ามีเพดานเท่าไหร่ ให้เท่าไหร่ ?"

กลับมาที่ภาพยนตร์ "ลุงบุญมีระลึกชาติ" ในตอนนี้อภิชาติพงศ์บอกว่าขายได้ตัวหนังไปได้หลายประเทศแล้ว

"ตอน นี้ขายหนังไปได้ประมาณ 20-30 ประเทศแล้ว แล้วหลายประเทศซื้อก่อนที่จะได้รางวัลด้วย มันจะมีรอบสื่อขายก่อนที่คานส์ ส่วนตลาดหนัง ประเทศส่วนใหญ่ก็มีทั้งยุโรป ทั้งเอเชีย ที่เซอร์ไพรส์คือไต้หวัน ผมไม่เคยเข้าไปในตลาดเขาได้ ไต้หวันเขาก็ซื้อ"

หาก โชคดี ในไม่ช้าเราคงมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ของเจ้ย ที่เขาอยากให้เป็น แต่เมื่อเหลียวหลังไปดูหนังเรื่องก่อน ๆ ของเขา สิ่งหนึ่งที่เห็นคือ ท่ามกลางช่อมะกอกบอกสรรพคุณภาพยนตร์ของเขาหลายเรื่อง กลับปรากฏอยู่ในกระบะลดราคา อย่างเช่น ภาพยนตร์เรื่อง "สุดเสน่หา" ที่วางขายในกระบะราคาแผ่นละ 19 บาท ! แต่เจ้ยบอกว่าเขาไม่ติดใจเรื่องราคา แต่สิ่งที่เขาติดใจก็คือ

"ผมรู้สึกเสียใจเรื่องเดียวคือเรื่องสุดเสน่หา เพราะว่ามันไม่ใช่เวอร์ชั่นเป็นหนังของผม มันเป็นหนังที่เอามาตัดใหม่ ซึ่งเรารู้สึกว่าไม่อยากให้คนซื้อหนังเรื่องนี้ แต่ว่าหนังเรื่องสัตว์ประหลาด ซื้อได้ แล้วถ้าเป็นไปได้ พยายามดูจอใหญ่ คนที่ดูหนังของผมหลายคนบอกว่า ถ้าดูจอใหญ่จะเวิร์ก แต่ถ้าดูจอเล็ก ผมยังงงเลย ถ้าผมดูจอเล็ก ผมจะหลับ ดูคนละเรื่องเลย คือ หนังของผมต้องการภาพและเสียงขนาดใหญ่มั้ง"

แม้จะก้าวมาถึงขั้นนี้ แต่เจ้ยปิดท้ายให้เราได้คิดว่า

"ผม ว่ามันเหมือนเดินถนนแล้วเราเดินไปเจออาหารที่อร่อยมาก แม้จะชอบแต่ต้องพยายามไม่หยุดอยู่ตรงนี้ ยังไงผมก็ทำหนังต่อไป แล้วเรารู้สึกว่าเป็นโอกาสดี เรามีพลังมากขึ้น เรามีน้ำตาลในเลือดมากขึ้น เรามีโอกาสที่จะก้าวเดินต่อไปได้อีก ผมรักภาพยนตร์มีอะไรที่น่าสนใจ" :D (หน้าพิเศษ D-Life)


หน้า 8
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02dlf05280653&sectionid=0225&day=2010-06-28
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809
/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
C:\Documents and Settings\user\My Documents\ไฟล์ที่ได้รับของฉัน\issarachon1101.wma
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiansoon

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น